สำหรับพลตรีฟานคั๊กที อดีตรองผู้บัญชาการของกรมบัญชาการทหารเจื่องเซินนั้นแม้ปีนี้อายุย่างเข้าวัย 90 แล้วแต่เมื่อกล่าวถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของทหารเจื่องเซิน เขายังจำทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงเวลานั้นได้ทั้งหมด และได้เล่าเรื่องราวต่างๆด้วยความภาคภูมิใจว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีค.ศ. 1975 คณะผู้บัญชาการส่วนกลางได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการเตรียมพร้อมให้แก่การสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ในเจื่องเซิน ขณะนั้น มี 2 กองพลรถขนส่ง หน่วยทหารราบและทหารช่างหลายกองพลพร้อมระบบท่อส่งน้ำมันเพื่อสนับสนุนให้แก่หน่วยทหารต่างๆในยุทธนาการครั้งยิ่งใหญ่  ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กองทัพเวียดนามได้ใช้รถยนต์ในการขนส่งโดยทหารไม่ต้องเดินเท้าไปยังสมรภูมิ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ถูกขนส่งด้วยรถยนต์เช่นกัน และทหารเจื่องเซินคือผู้ปฏิบัติหน้าที่พลขับให้แก่ขบวนรถขนส่งเหล่านี้ พลตรีฟานคั๊กทีเล่าว่า “ในตอนนั้นทหารเจื่องเซินรับหน้าที่ที่มีความหมายชี้ขาดต่อชัยชนะของยุทธนาการ โดยกองพลรถขนส่งสองกองพลได้ส่งทหารหลักไปยังสมรภูมิ ซึ่งช่วยเพิ่มความรวกเร็วในการโจมตีและสร้างก้าวกระโดดให้แก่ยุทธการณ์ดั่งคำยืนยันของพลเอกหวอเงวียนย๊าป ผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ว่าเนื่องจากมีสถานที่รวมกำลังพล มีฐานที่มั่นเพื่อเปิดการโจมตีและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ทหารในการโจมตีครั้งประวัติศาสตร์ ดังนั้น 2 กองพลรถขนส่งนี้จึงมีส่วนสำคัญต่อชัยชนะของยุทธนาการโฮจิมินห์”

ขบวนรถกว่า 5,000 คันของกองพล 417 และ 571 ของทหารเจื่องเซินได้ขนส่งทหารหลักของกองทัพที่ 1, 2 และ 3 เข้าร่วมการสู้รบตั้งแต่กรุงเก่าเว้-นครดานัง เขตที่ราบสูงเตยเงวียนไปจนถึงภาคตะวันออกภาคใต้และสุดท้ายคือเข้าปลดปล่อยไซ่ง่อน ไปถึงไหนก็ชนะถึงนั้น ทหารเจื่องเซินทุกนายตระหนักได้ดีถึงหน้าที่สำคัญของตนคือ สู้รบเพื่อเปิดทางและปกป้องเส้นทางโอจิมินห์ ระบบท่อส่งน้ำมันและเข้าร่วมการสู้รบกับทหารทุกหน่วยในแนวหน้าเพื่อปลดปล่อยภาคใต้ จึงมีความพยายามอย่างเต็มที่พันเอกดิงกงตี อดีตเลขาธิการพรรคกรมรถขนส่ง 11 สังกัดกองพล 571 ของทหารเจื่องเซินเล่าว่า “ทุกคนต่างมีจิตใจอันฮึกเหิมที่ได้ขับรถขนส่งทหารบนทางหลวงหมายเลข 1 เข้าสมรภูมิ จึงพยายามรักษาความปลอดภัย ผลัดกันขับรถเพื่อปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่อง ศัตรูล่าถอยอย่างต่อเนื่องดังนั้นพวกเราก็ยิ่งขนส่งทหารให้รวดเร็วและทันการณ์มากขึ้น”

ในช่วงที่วันชัยชนะใกล้มาถึงแล้ว เมื่อเดินทางเข้าสู่เมืองไซ่ง่อน ทหารเจื่องเซินล้วนมีความซาบซึ้งใจมากจนไม่สามารถแสดงเป็นคำพูดได้ โดยในขบวนทหารที่เข้าสู่ไซ่ง่อนในวันนั้น ทหารเจื่องเซินมีอีกหน้าที่คือ เข้าควบคุมและปกป้องนครด้วยความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ให้สวยงามและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น พลตรีฟานคั๊กทีเล่าถึงความทรงจำในเช้าวันที่ 1 พฤษภาคมที่ไซ่ง่อนเพิ่งได้รับการปลดปล่อยว่า “ในตอนนั้นผมและคุณดิงดึ๊กเถี่ยน  ซึ่งเป็นหัวหน้าทบวงพลาธิการ รองผู้บัญชาการของยุทธนาการเดินทางเข้านครไซ่ง่อนและคุณเถี่ยนบอกกับผมว่า “เราเข้ามาควบคุมไซ่ง่อนครั้งนี้ต้องพยายามรักษาสภาพที่สมบูรณ์และสวยงาม รวมทั้งวิถีชีวิตของชาวนครให้ได้ พวกเราเข้าร้านค้าขายต่างๆ เข้าถนนทุกซอกทุกซอย เห็นชาวไซ่ง่อนต้อนรับทหารปลดปล่อยด้วยความยินดี วันนั้นใครๆก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ซึ่งกลั้นน้ำตาไม่ได้เพราะสามารถตอบสนองความปรารถนาในหลายสิบปี และพวกเราก็ไม่สามรถบรรยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้หมด”

ยุทธนาการโฮจิมินห์ถือเป็นการเสร็จสิ้นภารกิจทางประวัติศาสตร์ในตลอดเวลา 16 ปีของทหารเจื่องเซิน ตั้งแต่ได้รับการก่อตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมปีค.ศ. 1959 มีทหารและเยาวชนเดินหน้าเกือบ 1 หมื่น 2 พันนายจากกองพลต่างๆมารับใช้ภารกิจดังกล่าว ซึ่งได้สร้างปาฏิหาริย์ต่างๆ เช่น เปิดทางเดินหน้า สร้างท่อส่งน้ำมันนับหมื่นกิโลเมตร อันเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นต่อชัยชนะเพื่อให้ทุกคนสามารถเอาชนะทุกความลำบากและความดุเดือดของสงคราม ยุทธนาการโฮจิมินห์ที่ปลดปล่อยไซ่ง่อน ปลดปล่อยภาคใต้ยังมีความหมายอันศักดิสิทธิ์ต่อทหารเจื่องเซิน ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่สำคัญแห่งชัยชนะของประชาชาติเวียดนาม./.