บรรดาผู้แทนและเยาวชนไทยและเวียดนามที่เข้าร่วมโครงการฯ (Photo:สถานทูตไทยประจำเวียดนาม)

ในห้องจัดเลี้ยงขนาด200ตารางเมตรของโรงแรม Melia  ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย-เวียดนามครั้งที่10 เยาวชนเวียดนามและไทยรวม37คนในชุดประจำชาติกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน  น.ส. เหงวียนทูแถ่ง มีรูปร่างเล็กในชุดอ๊าวหย่ายสีชมพู ไว้ผมยาวประไหล่พร้อมรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้าเมื่อพบปะกับเพื่อนคนไทยที่เคยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเวียดนาม-ไทยครั้งที่7ปี2015  ซึ่งทำให้เธอหวนรำลึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เข้าร่วมโครงการฯในประเทศไทยอีกครั้ง “หนูเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเวียดนาม-ไทยเมื่อปี2015 ตอนนั้น หนูเป็นนักศึกษาปีที่2ของมหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์  ซึ่งอาจารย์คัดเลือกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมบ่อยๆและเป็นคนที่สามารถพูดภาษาไทยได้  ตอนที่หนูเข้าร่วมโครงการฯเมื่อปี2015 เขาพาพวกหนูไปเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกันเหมือนการแลกเปลี่ยนการละเล่นพื้นบ้าน เพลง ความรู้ ไปสถานที่ท่องเที่ยวรวมทั้งจังหวัดนครพนม หนูจับคู่พี่คนไทยอีกคนหนึ่ง เป็นbuddyกัน เราไปด้วยกันตลอดเวลา พูดคุยกันและแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับทั้งสองประเทศ หนูมีโอกาสพูดคุยภาษาไทยเยอะขึ้น มีทักษะในการโต้ตอบได้ทันทีและเร็วขึ้น สำเนียงก็ถูกขึ้นและพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ”

ส่วนคุณ อานนท์ ศรีพลกรังจากจังหวัดมุกดาหารก็กำลังเล่าให้เพื่อนคนใหม่ฟังเกี่ยวกับความทรงจำของตนตอนเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเวียดนาม-ไทยครั้งที่3และ4  7ปีได้ผ่านพ้นไปแต่ความทรงจำดังกล่าวยังคง อยู่ในใจของคุณ อานนท์ ศรีพลกรัง “ในช่วงนั้น นักศึกษาเวียดนามที่เข้าร่วมโครงการพูดสื่อสารภาษาไทยได้ ดังนั้น การสื่อสารก็ง่ายขึ้น พวกเขาก็พาขี่มอเตอร์ไซด์ไปดูชมวิถีชีวิตต่างๆ ผมได้ชมวิถีชีวิของเวียดนามได้เกือบทั้งหมด  จากที่ไม่รู้เลยก็ได้รู้มากขึ้น วัฒนธรรม รู้มากขึ้นว่า คนเวียดนามกินยังไงอยู่ยังไง เรื่องอาหารก็ได้ชิมได้สัมผัสเต็มที่ คนเวียดนามผมว่าคือสุขภาพร่างกายดี ไม่ค่อยมีคนอ้วนผมสังเกตุ การกินเขาก็กินผักเยอะ กินจืดไม่กินหวาน”

ทูแถ่งและอานนท์ ศรีพลกรังเป็นตัวแทนของนักศึกษากว่า200คนที่เคยเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเวียดนาม-ไทยในช่วงปี2009-2017  ในตลอด9ปีที่ผ่านมา โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเวียดนาม-ไทยเป็นกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นทุกๆปีในท้องถิ่นต่างๆทั้งของเวียดนามและไทย  ซึ่งมีขึ้นเป็นเวลา10วัน ซึ่งนักศึกษา24คนจากมหาวิทยาลัยต่างๆของเวียดนามและไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น เยือนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของแต่ละประเทศ การบรรยายเกี่ยวกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละประเทศ เช่น เทศกาลตรุษเต๊ตของเวียดนาม เทศกาลสงกรานต์ของไทย การศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตและผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวช่วยให้นักศึกษามีความรู้มากขึ้น “ตอนนั้น มีเป็นการไปเยี่ยมชนบท คือได้ไปสัมผัสกับชีวิตชนบทของเวียดนามจริงๆ ซึ่งจริงๆแล้วพอได้ไปแล้วและเห็นได้ว่า ของเวียดนามและของไทยค่อนข้างใกล้เคียงกันมากทั้งการปลูกเรือน การหาอาหารของคนชนบท การประกอบอาหารจริงๆแล้วเราเหมือนมีรากฐานเดียวกัน ทำให้มองได้เห็นจริงๆแล้วมันคือวัฒนธรรมที่พวกเราสามารถที่จะเรียนรู้ไปพร้อมๆกันได้ แต่จริงมันคือจุดเชื่อมของคนไทยเรา คนไทยและคนเวียดนามทำเหมือนกัน” “เมื่อเดินทางไปเยือนจังหวัดสมุทรสงครามและเพชรบุรี  พวกเราได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เฉพาะถิ่น โครงการพัฒนาอย่างยั่งยืนของรัฐบาลไทยและโครงการพัฒนาด้านการเกษตรของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 พวกเราได้ศึกษาหลายสิ่งหลายอย่างและเห็นว่า ชาวไทยมีความขยันหมั่นเพียรและเป็นมิตร”

  เมื่อเข้าร่วมโครงการดังกล่าว บรรดานักศึกษาไม่เพียงแต่มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมของแต่ละประเทศเท่านั้นหากยังได้เพื่อนใหม่อีกด้วย  หลังจากที่เข้าร่วมโครงการ พวกเขายังคงติดต่อกันเพื่อช่วยกันในการศึกษา  น.ส. ศุภิสรา บุญอินทร์จากสถาบันวิทยสิริเมธี VISTEC ได้เผยว่า “ค่ะ ยังติดต่ออยู่กับเพื่อนเวียดนามตลอดๆ ตอนนี้ก็ยังนัดมาเจอกัน จริงๆการเข้าร่วมโครงการครั้งนี้คือเราอยากจะมาเจอเพื่อนเก่าทั้งเพื่อนไทยและเพื่อนเวียดนาม  นอกจากนี้ คือเป็นการที่เขารวมทั้ง10ปีที่เคยจากโครงการมา นอกจากได้เจอเพื่อนเก่าแล้วเรายังมีโอกาสได้สร้างเครือข่ายเพิ่มเติมจากการที่เรามาเจอพบปะเพื่อนๆพี่ๆน้องๆตรงนี้ เราก็เลยคิดว่า คอนเนคชันตรงนี้ มันคือการที่เราแบบได้ต่อยอดจากเครือข่ายเดิมของเรา จากกลุ่มเล็กๆขยายต่อไปเพื่อสร้างคอนเนคชั่นยั่งยืนมากขึ้น”

  รองศาสตรจารย์ ดอกเตอร์ โงมิงถวี รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศสังกัดมหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอยได้ประเมินเกี่ยวกับโครงการนี้ว่า “ฉันคิดว่า  การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชาติต่างๆ โดยเฉพาะ เยาวชนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การจัดโครงการดังกล่าวมีส่วนช่วยให้เยาวชนทั้งสองประเทศมีความเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งการเข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นความทรงจำที่ดีสำหรับพวกเขา  หลังจากที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว นักศึกษาทุกคนต่างแสดงความประทับใจต่อเพื่อนคนไทย  ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในประเทศไทยได้ช่วยให้พวกเขาส่งเสริมความเชื่อมโยงกับเพื่อนคนไทยและเร่งรัดให้พวกเขาศึกษาสิ่งใหม่ๆและแนะนำประเทศตนให้แก่เพื่อนมิตรชาวต่างชาติ”

  ส่วนน.ส. วันทนีย์ วิพุธวงศ์สกุล  อุปทูตสถานทูตไทยประจำเวียดนามได้กล่าวว่า “โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย-เวียดนามดำเนินงานมา10ปีแล้ว นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า ประสบผลสำเร็จได้ดี เพราะโครงการนี้ให้ประโยชน์แก่เยาวชนดังที่ท่านได้ทราบว่า เยาวชนทั้งไทยและเวียดนามมีการพัฒนาตนเองในมุมต่างๆด้วย โดยเฉพาะ ในการที่รับฟังความเห็นของผู้อื่น เราก็ยังจะจัดขึ้นต่อไปและปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จริงๆตอบเสนองความต้องการของเยาชนเองว่า เยาวชนต้องการที่จะให้รูปแบบของโครงการเป็นแบบใด”

ภายหลังกิจกรรมฉลองครบรอบ10ปีการจัดโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนเวียดนาม-ไทย ตัวแทนเยาวชนไทย – เวียดนาม ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเยาวชนไทย – เวียดนาม (Thai-Vietnamese Youth Statement)พร้อมทั้งได้ส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้สถานเอกอัครราชทูตฯเพื่อเก็บรักษา  แถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว ถือเป็นเอกสารที่แสดงเจตนารมณ์ร่วมระหว่างเยาวชนไทย – เวียดนามฉบับแรก โดยกล่าวถึงบทบาทของเยาวชนในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี อาทิ การแสดงเจตนารมณ์ที่จะเป็น Youth Goodwill Ambassador เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนไทย-เวียดนาม การส่งเสริมเครือข่ายมิตรภาพระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศโดยการจัดตั้ง Youth Alumni Network และการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเยาวชนทั้งสองประเทศผ่านทาง social media นอกจากนี้ ได้จัดกิจกรรมเปิดตัว facebook page “Thai-Vietnamese Youth Exchange Program” ซึ่งเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นผู้ริเริ่มขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ทุกรุ่นเพื่อสร้างเครือข่ายมิตรภาพเยาวชนไทย – เวียดนามสืบต่อไป นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการปฏิบัติเป้าหมายต่างๆที่ถูกระบุในแถลงการณ์ร่วม ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันการทูตประชาชนระหว่างสองประเทศ.