ข้อตกลงทีพีพีเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายใหญ่ต่อหน่วยงานการเกษตรเวียดนาม

บริษัทหุ้นส่วนการเกษตรหุ่งเหิวในเขตเตินฟู้ นครโฮจิมินห์ประกอบธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำไปยังตลาดสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น  โดยแต่ละปี มูลค่าการส่งออกของบริษัทได้บรรลุ๑๗ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เพื่อใช้โอกาสการส่งออกเมื่อข้อตกลงทีพีพีมีผลบังคับใช้  ทางบริษัทฯได้มีการเตรียมความพร้อมและลงทุนนับพันล้านด่งเพื่อเพิ่มผลผลิตและจัดตั้งเขตผลิตวัตถุดิบเพื่อตอบสนองความต้องการของข้อตกลงทีพีพีเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดของสินค้า  นาย ตื่อแทงฝุง ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทหุ้นส่วนการเกษตรหุ่งเหิวได้เผยว่า“พวกเรากำลังปรับปรุงระบบการผลิต  เปลี่ยนแปลงใหม่เทคโนโลยีการผลิต  ขยายแหล่งจัดสรรวัตถุดิบเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดของสินค้าเพื่อตอบสนองเงื่อนไขและมาตรฐานที่เข้มงวดของประเทศสมาชิกทีพีพี”
ปัจจุบัน สถานประกอบการด้านการเกษตร๓๕๐๐แห่งของเวียดนามส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม  โดยสถานประกอบการหลายแห่งยังไม่สามารถเข้าร่วมระบบการจำหน่ายโดยตรง ทำให้ไม่สามารถควบคุมการผลิตและครองส่วนแบ่งในตลาดได้  ดังนั้น เมื่อเข้าร่วมข้อตกลงทีพีพี  บรรดาผู้ประกอบการต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ เช่น กรณีการฟ้องร้องเรื่องการต่อต้านการขายทุ่มตลาด การต่อต้านการอุปถัมภ์และอุปสรรคด้านเทคนิค   ซึ่งทำให้บรรดาผู้ประกอบการต้องอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับข้อกำหนดดังกล่าว  นาย เหงวียนหว่างหยุง ผู้อำนวยการวิจัยและการพัฒนาสถาบันเศรษฐกิจและการบริหารนครโฮจิมินห์ได้เผยว่า  “สิ่งที่บรรดาผู้ประกอบการต้องการคือข้อมูล สำนักรัฐบาลและผู้ประกอบการต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น  แลกเปลี่ยนและจัดสรรข้อมูลอย่างทันการณ์เพื่อช่วยให้บรรดาผู้ประกอบการสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก    มีสินค้าบางชนิดที่จะได้รับการยกเลิกภาษีทันทีและสินค้าบางชนิดยังไม่ได้รับการยกเว้นภาษี  ดังนั้น บรรดาผู้ประกอบการต้องเริ่มทำการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่บัดนี้”

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก

ปัจจุบัน เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก แต่อย่างไรก็ดี ข้าวของเวียดนามยังไม่สามารถครองส่วนแบ่งที่มั่นคงในตลาดโลกได้  เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ควบคู่กับการวางแผนการผลิต การลงทุนเพื่อพัฒนาพันธุ์พืชและสร้างเครื่องหมายการค้าของผลิตภัณฑ์    หน่วยงานการเกษตรต้องรับทราบข้อมูลและความต้องการของตลาดเพื่อยกระดับคุณค่าของข้าวเวียดนาม  นาย เหงวียนดิ่งบิ๊ก ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจได้เผยว่า “ในระหว่างการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงทีพีพี  บรรดาผู้ประกอบการของญี่ปุ่นได้เดินทางมาเวียดนามเพื่อแสวงหาโอกาสการผลิตข้าวตามมาตรฐานและคุณภาพของญี่ปุ่นด้วยราคาสูง  ซึ่งตลาดสหรัฐ ญี่ปุ่นและออสเตรเลียให้ความสนใจต่อสินค้าการส่งออกดังกล่าว”
เพื่อใช้โอกาสและรับมือกับความท้าทายเมื่อเข้าร่วมข้อตกลงทีพีพี  หน่วยงานการเกษตรของเวียดนามต้องปรับปรุงโครงสร้างการผลิต   ผลิตภัณฑ์การเกษตรต้องมีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา คุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร  ผู้ประกอบการและเกษตรกรต้องร่วมมือกัน  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรัฐจะต้องให้การสนับสนุน ส่งเสริมและดึงดูดผู้ประกอบการรายใหญ่ให้เข้ามาลงทุนเพื่อพัฒนาการเกษตรต่อไป
ข้อตกลงทีพีพีเป็นโอกาสใหญ่สำหรับหน่วยงานการเกษตรและแรงงานเวียดนามทั้งในด้านงานทำและรายได้แต่ในขณะเดียวกัน จะต้องเพิ่มผลผลิตของแรงงาน ยกระดับทักษะความสามารถและเทคนิค ถึงจะสามารถใช้โอกาสนี้ได้ดี ซึ่งการเข้าร่วมทีพีพียังถือเป็นการทดสอบกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างการเกษตร ถ้าหากการปรับปรุงดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรดาผู้ประกอบการและเกษตรกรก็จะใช้โอกาสนี้ได้เต็มที่และสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆเพื่อให้หน่วยงานการเกษตรมุ่งสู่การผสมผสานเข้ากับกระเศรษฐกิจโลกได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง.