(VOVWORLD) -อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถือว่ามีความสำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเป็นพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนที่สำคัญใน3ด้านของการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 คือ การปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล การปรับเปลี่ยนแห่งสีเขียวและการปรับเปลี่ยนเชิงอัจฉริยะ ในสภาวการณ์ที่ระบบห่วงโซ่อุปทานมีความหลากหลายและภูมิศาสตร์การเมืองในทั่วโลกมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก สถานประกอบการด้านเซมิคอนดักตอร์กำลังทำการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งเวียดนาม ดังนั้น เพื่อไม่พลาดโอกาสนี้ เวียดนามจึงเน้นปฏิบัติก้าวกระโดดต่างๆ ปรับปรุงกลไกและโครงสร้างพื้นฐานให้มีความสมบูรณ์ พัฒนาแหล่งบุคลากรที่มีคุณภาพสูงเพื่อยกระดับสถานะของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักตอร์โลก
ภาพประกอบ (VNA) |
ในตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ได้เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 14 ต่อปี ส่วนในปี 2023 ก็มีรายได้เกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐและได้รับความคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมนี้จะมีการขยายตัวอย่างเข้มแข็งและทำรายได้ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030
ที่เวียดนาม ด้วยความตั้งใจทางการเมืองในระดับสูงเวียดนามมีบรรยากาศการลงทุนและประกอบธุรกิจสะดวก มีแรงงานที่มีคุณภาพ มีความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านกับเกือบทุกประเทศที่มีการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้ยืนยันว่า เวียดนามมีความได้เปรียบมากเพื่อยืนยันสถานะในแผนที่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก นายหวอซวนหว่าย รองผู้อำนวยการศูนย์พัฒนานวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIC สังกัดกระทรวงวางแผนและการลงทุนได้แสดงความคิดเห็นว่า
“ในเวลาที่ผ่านมา มีซีอีโอของเครือบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ๆ ทั่วโลกได้มาเวียดนาม เช่น ซีอีโอของ Nvidia, Lam Research, Global Foundary และบริษัทผลิต หีบห่อและตรวจสอบคุณภาพของอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ เช่น Coherent, Amkor, Intel.. ต่างมาลงทุนในเวียดนาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นี่คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้สถานประกอบการทั่วโลกมาแสวงหาโอกาสประกอบธุรกิจในเวียดนาม โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในทั่วโลกได้ช่วยให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนและมีโอกาสเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานในด้านนี้อย่างลึกซึ้ง”
นาย หวอซวนหว่าย รองผู้อำนวยการศูนย์พัฒนานวัตกรรมแห่งชาติหรือ NIC (NIC) |
เพื่อใช้โอกาสนี้ได้อย่างเต็มที่ รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ถึงปี 2030 และวิสัยทัศน์ถึงปี 2050 โดยแบ่งเป็น 3 ระยะด้วย 5 เป้าหมายหลัก เช่น ปรับปรุงกลไกนโยบายเฉพาะเพื่อค้ำประกันการเพิ่มขีดความสามารถกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคและพัฒนาแหล่งบุคลากรที่มีคุณภาพสูง เป็นต้น
นาย เหงียนวิงห์กวาง ผู้อำนวยการของบริษัทหุ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์ FPT หรือ FPT Semiconductor แสดงความคิดเห็นว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเวียดนามในการพัฒนายุทธศาสตร์ของตนเองเพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมนี้ของเวียดนามพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
“นี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ได้ถูกระบุและได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากรัฐบาล พร้อมทั้งมีเนื้อหาใหม่ๆ ในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่เพิ่งประกาศเมื่อเร็วๆนี้ ส่วนบริษัท FPT ก็มีความยินดีเป็นอย่างมากเพราะว่า นี่เป็นโอกาสดีสำหรับเวียดนาม โดยเฉพาะบริษัทต่างๆ ของเวียดนามเพื่อสามารถพัฒนาอย่างเข้มแข็งและยกระดับสถานะของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก”
ถึงขณะนี้ ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เวียดนามสามารถปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์และพร้อมเพียงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ควบคู่กันนั้น ยังมีการประกาศนโยบายสนับสนุนและให้สิทธิพิเศษด้านภาษี เงินทุนให้แก่สถานประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงด้วย โดยเฉพาะเน้นฝึกอบรมและพัฒนาแหล่งบุคลากรให้แก่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เพื่อให้ถึงปี 2030 เวียดนามจะมีวิศวกรในด้านนี้ราว 5 หมื่นคน
จากการตระหนักได้ดีเกี่ยวกับความตั้งใจนี้ของรัฐบาลเวียดนาม ผู้เชี่ยวชาญและหุ้นส่วนต่างประเทศหลายคนได้ยืนยันว่า จะเดินพร้อมกับเวียดนามในการปฏิบัติเป้าหมายพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในระบบห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลก นาง Linda Tan นายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์โลกย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าวว่า
“ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ของเวียดนามได้รับการคาดการณ์ว่า จะบรรลุ 31,390ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2029 โดยมีอัตรการขยายตัวต่อปีร้อยละ 11.48 ในระยะปี 2024 – 2029 ในขณะที่รัฐบาลเวียดนามกำลังผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ผ่านนโยบายและยุทธศาสตร์ต่างๆ เราให้คำมั่นว่า จะพัฒนาบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะความสามารถผ่านโครงการแบบสมบูรณ์และการฝึกอบรมทักษะความสามารถให้แก่บุคลากรเวียดนาม สมาคมเซมิคอนดักเตอร์โลกหรือ SEMI จะสนับสนุนความทะเยอทยานขยายนิมิตหมายในด้านนี้ของเวียดนามผ่านโครงการในขอบเขตทั่วโลกของเรา”
อุตสาหกรรมไมโครชิพมีบทบาทสำคัญและเป็นพื้นฐานในการพัฒนาของอุตสาหกรรมอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจโลก ส่วนสำหรับเวียดนาม ไมโครชิพถือเป็น “เมล็ดข้าวในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล” ซึ่งเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน เวียดนามได้มีก้าวกระโดดในด้านกลไกที่สำคัญคือการเปิดประเทศและปฏิรูป ช่วยให้เวียดนามหลุดพ้นจากความยากจนเนื่องจากการส่งออกข้าวในด้านการเกษตร ส่วนในวันนี้ เวียดนามกำลังมีโอกาสใช้ “เมล็ดข้าวของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล” ผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและเศรษฐกิจโลก ด้วยความมุ่งมั่นทางการเมือง การมีวิสัยทัศน์ในระยะยาวและยุทธศาสตร์ที่ดีจะช่วยให้เวียดนามระดมพลังทุกแหล่งเพื่อบรรลุเป้าหมายกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของระบบห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์โลกอย่างค่อยเป็นค่อยไป.