เศรษฐกิจภาคเอกชนคิดเป็นร้อยละ 40 ของจีดีพี สร้างงานทำให้แก่แรงงานกว่าร้อยละ 85 ซึ่งจากรายชื่อการจัดอันดับสถานประกอบการใหญ่ 500 แห่งประจำปีของเวียดนามก็สามารถเห็นได้ว่าสถานประกอบการภาคเอกชนได้มีการขยายตัวรวดเร็วเมื่อเทียบกับสถานประกอบการภาครัฐและสถานประกอบการที่มีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ย่างเครือบริษัท Vingroup Novaland Vinamilk TH Truemilk และHoa Phat เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดีบริษัทภาคเอกชนใหญ่ๆนั้นยังคิดเป็นเพียงร้อยละ 1.2 ของจำนวนสถานประกอบการทั้งหมดกว่า 600 แห่งเท่านั้น

ซึ่งในขณะที่เศรษฐกิจภาครัฐกำลังผลักดันการแปรเป็นบริษัทหุ้นส่วนนั้น เศรษฐกิจภาคเอกชนนับวันยิ่งมีบทบาทสำคัญในการธำรงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเวียดนาม ซึ่งสิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นจากเนื้อหาที่ระบุในมติของคณะกรรมการกลางพรรคบนเจตนารมณ์ของความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ว่าจะต้องยกเลิกกำแพงกีดกันต่อเศรษฐกิจภาคเอกชน โดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดเล็กและสถานประกอบการสตาร์อัพ นาย มายเตี๊ยนหยุง รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐบาลได้ยืนยันว่า"รัฐบาลได้ถือสถานประกอบการเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น ต้องปรับปรุงบรรยากาศการประกอบธุรกิจ แก้ไขอุปสรรคและสนับสนุนสถานประกอบการพัฒนา โดยเฉพาะสถานประกอบการภาคเอกชนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย จนถึงปี 2020 มีจำนวนสถานประกอบการมากกว่า ๑ ล้านแห่ง โดยส่วนใหญ่คือสถานประกอบการภาคเอกชน นอกจากนี้ ต้องมีกลไกและนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจครอบครัว4.9ล้านแห่งพัฒนาเป็นสถานประกอบการ"

นาย มายเตี๊ยนหยุง รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐบาล

อย่างไรก็ตามในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเวียดนามกำลังประสบความลำบากนั้น แม้สถานประกอบการใหญ่ๆก็ประสบอุปสรรคในการทำระเบียบการ รวมถึงปัญหารายได้ ค่าใช้จ่ายและงานด้านบุคลากร สถานประกอบการขนาดเล็กก็ยิ่งยากที่จะเข้าถึงแหล่งเงินกู้ คุณ หว่างทูหั่ง นักธุรกิจรุ่นใหม่ได้กล่าวว่า"ปัจจุบัน แหล่งเงินทุนของสถานประกอบการสตาร์ทอัพมาจากการแสวงหาเงินสนับสนุนจากแหล่งต่างๆด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมีไม่มาก ดิฉันมีความประสงค์ว่า จะได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆเพื่อทำการปฏิรูปและยกระดับเทคโนโลยี ธุรกิจสตาร์ทอัพถึงจะพัฒนามั่นคงได้"

นอกจากนั้นปัญหาอีกข้อที่สถานประกอบการขนาดเล็กมักจะประสบคือ ขาดข้อมูลการอัพเดทสถานการณ์ตลาดและการดำเนินงานยังไม่เป็นมืออาชีพดังนั้นจึงประสบอุปสรรคในการติดต่อหารือกับลูกค้าหรือหุ้นส่วน ซึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้ปฏิบัติโครงการสนับสนุนสถานประกอบการขนาดเล็กและสถานประกอบการสตาร์อัพในการเข้าร่วมเครือข่ายระหว่างหน่วยงาน ซึ่งนี่ก็เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาสินค้าบางรายการล้นตลาด นาย ดั่งฮวีดง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุนได้เผยว่า"ต้องพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานต่างๆกับห่วงโซ่คุณค่าเพื่อดึงดูดการเข้าร่วมของผู้ที่มีทักษะความสามารถและสถานประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในด้านคุณภาพและราคาสินค้า อีกทั้งต้องก่อตั้งสมาคมและสหกรณ์ต่างๆเพื่อมีตัวแทนด้านนิติบุคคลในการแข่งขันในตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สถานประกอบการสามารถลงนามสัญญาจำหน่ายสินค้าตามข้อตกลงการค้าระหว่างเวียดนามกับหุ้นส่วนต่างๆอย่างมั่นคง"

นอกเหนือจากการผลักดันการปรับปรุงระเบียบราชการแล้ว รัฐบาลกำลังปฏิบัติมาตรการต่างๆเพื่อแก้ไขอุปสรรคด้านการเงินให้แก่สถานประกอบการ โดยเสนอให้ธนาคารลดค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมและสถานประกอบการสตาร์ทอัพตามอัตราที่เหมาะสม  

ในปี 2016 มีสถานประกอบการใหม่ 110,000 แห่ง รวมยอดเงินลงทุนจดทะเบียน 900 ล้านล้านด่ง ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายปีมานี้ ส่วนใน ๕ เดือนแรกของปี 2017 มีสถานประกอบการใหม่กว่า ๔ หมื่นแห่ง คาดว่า จนถึงปี 2020 เวียดนามจะมีสถานประกอบการประมาณ 1.4 ล้านแห่ง ซึ่งจากการที่รัฐบาลปฏิบัติมาตรการต่างๆเพื่อปรับปรุงบรรยากาศการประกอบธุรกิจและ การปฏิรูประเบียบราชการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่สถานประกอบการ เป้าหมายมีสถานประกอบการ ๑ ล้านแห่งที่ประกอบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพภายในปี 2020 จะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน.