วัดเทียนหมุมีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกรุงเก่าเว้(Photo : Thu Hang)

ตามตำนานของชาวท้องถิ่น  เมื่อครั้งโบราณกาลที่เนินฮาเคนั้นทุกคืนได้มีหญิงสูงอายุคนหนึ่งชอบมานั่งบนเนินนี้แล้วบอกกับชาวบ้านว่า วันหนึ่งจะมีผู้ยิ่งใหญ่มาสร้างวัดสร้างเจดีย์บริเวณนี้และจะนำสันติสุขมาสู่บ้านเมือง พอมาถึงปี1601 เมื่อครั้งที่เจ้าเหงวียนหว่างซึ่งเป็นผู้ปกครองเขตถวนฮว้านี้ได้ลงพื้นที่ตรวจดูความเป็นอยู่ของบ้านเมืองโดยรอบบริเวณนี้และเดินผ่านพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเฮืองหรือแม่น้ำหอมแล้วเห็นเนินเขาลูกเล็กๆโผล่ขึ้นมาริมฝั่งแม่น้ำที่มีรูปร่างเหมือนมังกรกำลังหันหน้ามามองสายน้ำเลยรู้สึกประทับใจและดำริให้ก่อสร้างวัดบนเนินแห่งนี้โดยตั้งชื่อว่า เทียนหมุที่สื่อความหมายคือเทพหมุที่ศักดิ์สิทธิ์หรือคนไทยรู้จักกันในชื่อวัดเทพธิดาราม

วัดเทียนหมุมีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกรุงเก่าเว้ โดยเมื่อมองจากด้านบนวัดมีรูปเหมือนเฒ่ายักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนเงาริมแม่น้ำ วัดถูกโอบล้อมด้วยกำแพงหินสองชั้น มีประตูตามกวานสองชั้นหลังคา8ส่วน สองข้างมีรูปปั้นเทพอารักษ์ตั้งอย่างสง่างามคอยยืนปกปักรักษาไม่ให้ความชั่วร้ายผ่านเข้ามา  เมื่อก้าวผ่านประตูตามกวานเข้าไปข้างในจะเห็นเจดีย์เฟือกเยวียนที่ก่อสร้างเมื่อปี1844ด้วยอิฐโบราณสูง21เมตร ทรง8เหลี่ยม7ชั้น มีพระพุทธรูปประดิษฐานทุกชั้นและด้านในมีบันไดขึ้นไปถึงชั้นบนสุดที่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ  ต่อจากเจดีย์เฟือกเยวียนคือวิหาร ด๋ายหุ่ง ซึ่งเป็นพระอุโบสถที่บูชาเทพ ยีหลัก ซึ่งก็คือพระศรีอริยเมตไตรยหรือที่นิยมเรียกว่า พระศรีอาริย์  องค์ศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องดูแลชีวิตของชาวบ้านทุกคน ด้านบนแขวนแผ่นไม้ที่สลักอักษร4คำคือ “Linh Thuu Cao Phong” ซึ่งหมายถึงเขาคิชฌกูฏ-สถานที่ประทับจำพรรษาของพระพุทธเจ้าในพรรษาที่ 2, 5, 7 และพรรษาสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานที่เมืองนาลันทา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ภายในมีระฆังสำริดขนาดใหญ่ที่สลักรูปดวงจันทร์และพระอาทิตย์

เจดีย์เฟือกเยวียน(Photo: Lan Phuong )

จากเรื่องเล่าขานกันที่สะท้อนความศักดิ์สิทธิ์พร้อมทิวทัศน์ที่สวยงามและบรรยากาศที่เงียบสงบของวัดยิ่งทำให้วัดเทียนหมุกลายเป็นศูนย์รวมแห่งความเลื่อมใส เป็นที่พึ่งทางจิตใจไม่เพียงแต่ของชาวท้องถิ่นเท่านั้นหากยังเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจากท้องถิ่นอื่นๆเมื่อมาเที่ยวกรุงเก่าเว้ ดังความเห็นของนาย ฟานหงอกเตวี๊ยนจากจังหวัดหายเยืองและนาย เหงวียนแถ่งดาด ซึ่งมีภูมิลำเนาที่จังหวัดเถื่อเทียนเว้

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเยี่ยมชมวัดเทียนหมุ ซึ่งบรรยากาศที่นี่ช่วยให้อารมณ์และจิตใจผ่องใสมาก ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ทัศนียภาพที่สวยงามแสนโรแมนติกริมฝั่งแม่น้ำเฮืองก็ยิ่งทำให้วัดเทียนหมุมีความสุขุมศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ผมเคยเห็นเว้ผ่านภาพถ่ายเท่านั้นและคราวนี้ได้มาสัมผัสก็สมกับชื่อว่านครแห่งความโรแมนติกจริงๆ”

“ผมมานมัสการวัดอย่างน้อยปีละครั้งซึ่งมักจะมาในช่วงตรุษเต๊ตปีใหม่ ซึ่งเมื่อมาที่นี่ก็รู้สึกจิตใจสงบ เรื่องวุ่นวายของชีวิตหรือความเศร้าโศกกังวลใจก็หายไปหมด”

เดินผ่านพระอุโบสถที่บูชาพระศรีอาริย์ก็จะมาถึงวิหารตามเท้ที่บูชาพระพุทธรูป3 องค์ที่แสดงถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบัน อดีตกาล และอนาคต โดยมีพระมัญชุศรีโพธิสัตว์และพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ประดิษฐานอยู่สองข้าง ด้านหลังวิหารมีห้องจัดแสดงออสตินคันสีฟ้า ที่พระภิกษุ ทิก กว๋าง ดึ๊ก ใช้เป็นพาหนะขับไปจอดที่กลางเมืองไซ่งอน ในวันที่ท่านเผาตัวเองเพื่อต่อต้านระบอบที่มีนโยบาบปราบปรามชาวพุทธ ด้านหลังห้องนี้คือสถูปเจดีย์ที่เก็บเถ้าอัฐิพระภิกษุ ทิกดนเหิว ผู้ที่มีส่วนฟื้นฟูพุทธศาสนาในระยะต่อไป ในบริเวณของวัดเทียนหมุยังมีวิหารเล็กด๋ายหุ่ง เดียะต๋างและกว๊านเอิม ที่ได้รับการก่อสร้างและแกะสลักลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดวาอารามของเมืองเว้ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบสุข

ศาลด๋ายหุ่ง

เนื่องจากวัดเทียนหมุตั้งอยู่บนเนินสูงดังนั้นเมื่อยืนอยู่ที่บริเวณวัดนักท่องเที่ยวสามารถชมความสวยงามที่แสนโรแมนติกของแม่น้ำเฮืองได้อย่างเต็มตาแม้ที่วัดเทียนหมุจะไม่มีพระพุทธรูปมากเหมือนวัดอื่นๆแต่เมื่อมองในภาพรวม เทียนหมุเปรียบเสมือนพระราชวังของกษัตริย์ในอดีตที่ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมเหมือนหลงเข้าใปในบรรยากาศของพระราชวังเก่าในอดีตเมื่อร้อยปีก่อนที่จะทำให้รู้สึกถึงความสงบสุขและความโรแมนติกจิตใจปลอดโปร่ง        นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวก็สามารถเช่าจักรยานและปั่นไปตามเส้นทางริมน้ำ หรือจะนั่งเรือมังกรล่องตามแม่น้ำเฮืองก็จะได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่สดชื่น  รื่นรมย์ไปอีกแบบ.