ก้าวเดินใหม่ในการควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐ
Anh Huyen- VOV5 -  
(VOVWORLD) -ในสัปดาห์นี้ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐจะลงนามในบันทึกช่วยจำที่สั่งให้กระทรวงยุติธรรมรีบร่างรัฐบัญญัติเกี่ยวกับการห้ามขายอุปกรณ์เสริมบัมพ์สต็อกที่ช่วยให้ปืนกึ่งอัตโนมัติสามารถยิงรัวได้เหมือนปืนอัตโนมัติ การตัดสินใจดังกล่าวของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ได้สร้างความหวังเกี่ยวกับการปรับปรุงการควบคุมอาวุธปืน ซึ่งเป็นปัญหาที่สร้างความแตกแยกในสหรัฐในหลายปีที่ผ่านมา
นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ (Photo: AFP/TTXVN) |
เมื่อวันที่20กุมภาพันธ์ ณ ทำเนียบขาว นาย โดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมร่างกฎระเบียบเกี่ยวกับการห้ามขายอุปกรณ์ทุกชนิดที่ดัดแปลงอาวุธที่ถูกต้องตามกฎหมายให้กลายเป็นปืนอัตโนมัติที่ยิงรัวได้ พร้อมทั้ง ย้ำว่า รัฐบาลสหรัฐจะพยายามแก้ไขความรุนแรงจากอาวุธปืน ในวันเดียวกัน ทำเนียบขาวได้เผยว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาเกี่ยวกับร่างรัฐบัญญัติเพื่อผลักดันให้รัฐบาลและรัฐต่างๆทำการตรวจสอบประวัติของผู้ซื้อปืน ซึ่งท่าทีดังกล่าวของเจ้าของทำเนียบขาวถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า นโยบายที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงจากอาวุธปืนนั้นกำลังมีการเปลี่ยนแปลง
ความรุนแรงจากอาวุธปืนนับวันเพิ่มมากขึ้น
ตั้งแต่ต้นปี2018 ในสหรัฐได้เกิดเหตุกราดยิงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง เหตุกราดยิงที่โรงเรียนต่างๆ ซึ่งทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์นับสิบคนเสียชีวิต
โดยเมื่อวันที่14กุมภาพันธ์ ได้เกิดเหตุกราดยิงที่โรงเรียน Marjory Stoneman Douglas Parkland ในรัฐฟลอริด้า ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย17คน โดยคนร้ายคือนาย Nikolas Cruz อายุ19ปี ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนแห่งนี้ ก่อนหน้านั้น เมื่อเดือนมกราคม ได้เกิดเหตุนักเรียนอายุ15ปีกราดยิงใส่เพื่อนๆในโรงเรียนมัธยมตอนต้นแห่งหนึ่งในเมืองเคนตั๊กกี้ ภาคตะวันตกของสหรัฐ ซึ่งทำให้นักเรียน2คนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ18คน นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐเท็กซัส ซึ่งทำให้นักเรียน1คนได้รับบาดเจ็บและเหตุกราดยิงต่างๆที่นองเลือกที่สุดคือเหตุกราดยิงที่คาสิโนแมนดะเลย์เบย์ในเมืองลาสเวกัส เมื่อเดือนตุลาคมปี2017 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต59คนและได้รับบาดเจ็บกว่า500คน โดยเหตุกราดยิงนี้ทำให้คิดถึงเหตุกราดยิงที่ไนท์คลับในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริด้าเมื่อเดือนมิถุนายนปี2016 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต49คน
ตามข้อมูลสถิติ นับตั้งแต่ปี2013มาจนถึงปัจจุบัน ในสหรัฐได้เกิดเหตุกราดยิงเกือบ300ครั้ง โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงเรียนและคนร้ายก็คือนักเรียน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้แก่การรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนต่างๆในสหรัฐและทำให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปัญหาการควบคุมอาวุธปืน ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศที่ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อความมั่นคงและความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ความต้องการที่เร่งด่วนของการจัดทำร่างรัฐบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืน
ผลการสำรวจประชามติเมื่อสัปดาห์ก่อนที่จัดโดยมหาวิทยาลัย Quinnipiac ปรากฎว่า ผู้ที่ตอบแบบสอบถามร้อยละ66ให้การสนับสนุนการเพิ่มความเข้มงวดของร่างรัฐบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืน ส่วนร้อยละ31คัดค้าน ซึ่งเป็นอัตราการสนับสนุนการควบคุมอาวุธปืนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี2008และเพิ่มขึ้นร้อยละ20เมื่อเทียบกับข้อมูลสถิติเมื่อปลายปี2015 นอกจากนี้ รายชื่ออาวุต้องห้ามที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาสหรัฐเมื่อปี1994ได้หมดอายุตั้งแต่ปี2004และจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการจัดทำร่างรัฐบัญญัติฉบับใหม่ขึ้นมาใช้แทน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโหว่ในการมอบใบอนุญาตและการควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐและเป็นคำเตือนที่เร่งรัดให้ทางการสหรัฐต้องมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการควบคุมอาวุธปืน ในสมัยของประธานาธิบดีสหรัฐ บารัค โอบามา ร่างรัฐบัญญัติดังกล่าวได้รับการหยิบยกขึ้นมาหารือหลายครั้งและสร้างความถกเถียงระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน ในสถานการณ์ที่เป็นจริง ร่างรัฐบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธปืนต้องได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ รวมทั้ง สมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติของสหรัฐฯหรือ NRA
ดังนั้น แม้การตัดสินใจดังกล่าวของประธานาธิบดีสหรัฐได้สร้างความหวังเกี่ยวกับการปรับปรุงการควบคุมอาวุธปืนแต่นี่เพียงเป็นก้าวเดินแรกเพื่อลดการใช้อาวุธปืนในสหรัฐเท่านั้น.
Anh Huyen- VOV5