วิกฤตในยูเครนยังคงรุนแรงมากขึ้น

(VOVworld) – วิกฤตในยูเครนยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการกล่าวหากันว่า อีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและมาตรการตอบโต้ใส่กันระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรปหรืออียู โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับอียูไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากจะไกล่เกลี่ยได้เท่านั้น หากยังทำให้สถานการณ์ในยูเครนมีความชงักงันมากขึ้นอีกด้วย

(VOVworld) – วิกฤตในยูเครนยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการกล่าวหากันว่า อีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและมาตรการตอบโต้ใส่กันระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรปหรืออียู โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับอียูไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากจะไกล่เกลี่ยได้เท่านั้น หากยังทำให้สถานการณ์ในยูเครนมีความชงักงันมากขึ้นอีกด้วย
วิกฤตในยูเครนยังคงรุนแรงมากขึ้น - ảnh 1
ผู้นำของรัสเซีย ยูเครนและฝ่ายตะวันตก (Guardian)

สำหรับสถานการณ์ล่าสุด การพบปะของกลุ่มปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์ในภาคตะวันออกยูเครนที่เพิ่งเสร็จสิ้นลง ณ กรุงมินสค์ ประเทศเบลารุสไม่สามารถบรรลุผลงานที่เป็นรูปธรรมใดๆ ถึงแม้ทุกฝ่ายได้ประเมินว่า การพบปะมีลักษณะที่สร้างสรรค์ แต่ปัญหาต่างๆในระเบียบวาระการประชุม เช่นข้อตกลงหยุดยิงหรือการถอนอาวุธหนักไม่สามารถบรรลุความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ได้ ดังนั้น กระบวนการสนทนาเพื่อแสวงหามาตรการยุติการปะทะในภาคตะวันออกยูเครนจะต้องยืดเยื้อยาวนานต่อไป
ทุกฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

หลังจากการพบปะเสร็จสิ้นลงเพียงไม่กี่ชั่วโมง ได้มีกลุ่มนักรบเกือบ 15 คนของกลุ่มกบฎและประชาชนเสียชีวิตจากการปะทะระหว่างกองกำลังของทางการยูเครนกับกลุ่มลุกขึ้นสู้ใกล้เมืองโดเน็ตสค์ ทางการยูเครนได้กล่าวหากองกำลังลุกขึ้นสู้ว่าเป็นฝ่ายเริ่มแผนการโจมตีครั้งใหญ่ใส่สถานที่ต่างๆของยูเครน ใกล้เมือง โดเนตสค์และโจมตีเมือง Marinka ห่างจากเมืองโดเนตสค์ประมาณ 30 กิโลเมตร ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ที่แต่งตั้งเองได้ยืนยันว่า ไม่ได้ทำการโจมตีครั้งใหญ่ใส่สถานที่ต่างๆของกองทัพยูเครน  แต่กองทัพของทางการเคี๊ยฟได้ใช้อาวุธเคมีในสงคราม ตามข้อกล่าวหาของกระทรวงกลาโหมของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ ในหลายวันมานี้ กองทัพของทางการเคียฟได้มีการกระทำที่น่าวิตกกังวล โดยเฉพาะรถบรรทุกทหารบางคันได้แอบเข้าออกฐานทัพที่ติดกับเส้นแบ่งความมั่นคง นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณที่บ่งบอกว่า สหรัฐเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการใช้อาวุธเคมีของรัฐบาลยูเครน
การกล่าวหากันระหว่างทุกฝ่ายและข้อตกลงหยุดยิงที่ถูกละเมิดอย่างต่อเนื่องได้ทำให้สถานการณ์ในภาคตะวันออกยูเครนตกเข้าสู่วิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน นับตั้งแต่เกิดการปะทะในภาคตะวันออกยูเครนจนถึงปัจจุบัน ได้มีผู้เสียชีวิตกว่า 6400 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 หมื่น 6  พันคนและมีประชาชนที่ต้องอพยพลี้ภัยประมาณ 2.2 ล้านคน
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับฝ่ายตะวันตกไม่อยู่ในมาตรการทางการเมือง
ในขณะเดียวกัน การคว่ำบาตรระหว่างรัสเซียกับฝ่ายตะวันตกก็มีสัญญาณที่จะยืดเยื้อต่อไป โดยเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน สหภาพยุโรปหรืออียูได้ออกมาตรการตอบโต้ครั้งแรกหลังจากที่รัสเซียประกาศรายชื่อนักการเมืองและนักการทูตยุโรป 89 คนที่ห้ามเข้ารัสเซียโดยได้ประกาศว่า นาย Vladimir Tchijov เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำอียูพร้อมนักการเมืองคนหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อได้ถูกห้ามเข้ายุโรปเนื่องจากทางการรัสเซียไม่สามารถสร้างความโปร่งใสต่อการตัดสินใจของตนได้ ดังนั้นยุโรปต้องมีการกระทำที่เหมาะสมโดยก่อนอื่นคือการจำกัดการเดินทางไปยังสำนักงานต่างๆของสภายุโรปต่อบุคคล 2 คนดังกล่าว ควบคู่กันนั้น สำนักงานนิติบัญญัติของอียูได้ตัดสินใจระงับความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการร่วมมือของสภารัสเซีย-ยุโรปและประเมินสิทธิการเข้าถึงของส.สและรัฐสภารัสเซีย ส่วนรัสเซียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของอียูทันที พร้อมทั้งยืนยันว่า การตัดสินใจของรัสเซียเป็นสิ่งที่เหมาะสมและมีขึ้นหลังจากที่ฝ่ายตะวันตกใช้มาตรการคว่ำบาตร
ในขณะเดียวกัน ยูเครนได้ประกาศว่า กำลังมีแผนการอายัดทรัพย์สินของรัสเซียชั่วคราวในต่างประเทศเพื่อนำมาชดใช้ความเสียหายในกรณีรัสเซียยึดไครเมียโดยกระทรวงยุติธรรมของยูเครนได้เผยว่า บริษัทยูเครนกว่า 400 แห่งและบ่อน้ำมัน 18 แห่งได้ถูกผนวกรวมเข้ากับไครเมียซึ่งก่อความเสียหายอยู่ที่ประมาณ  4 หมื่น 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ในทางเป็นจริง การตอบโต้ล่าสุดระหว่างรัสเซียกับอียูยังคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจเพราะการคว่ำบาตรระหว่างรัสเซียกับอียูยังไม่เคยคลี่คลายลงถึงแม้ข้อตกลงสันติภาพที่ได้บรรลุ ณ กรุงมินสค์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้ทำให้ทุกฝ่ายลดการยืนกรานจุดยืนของตน รัสเซียและอียูไม่สามารถบรรลุเสียงพูดเดียวกันได้โดยง่ายเมื่อความขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องถึงวิกฤตในยูเครนยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้น การคว่ำบาตรระหว่างกันอย่างต่อเนื่องจึงทำให้วิกฤตในยูเครนยิ่งไม่มีทางออก
ยากที่จะแสวงหามาตรการที่สมบูรณ์เพื่อต่อรองผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย

การเจรจาสันติภาพเกี่ยวกับยูเครนถูกฟื้นฟูเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ณ เมืองมินสค์ ประเทศเบลารุสในสภาวการณ์ที่ความตึงเครียดเกิดขึ้นอีกครั้งในเขตที่มีเสถียรภาพเนื่องจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่มปฏิบัติงานเกี่ยวกับยูเครนได้พบปะกันหลายครั้งเพื่อแสวงหามาตรการที่สมบูรณ์ให้แก่วิกฤต ตลอดจนผลักดันการปฏิบัติข้อตกลงหยุดยิงที่ได้บรรลุอย่างเต็มที่ แต่ในทางเป็นจริงได้แสดงให้เห็นว่า ทุกความพยายามไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างแท้จริง
คาดว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ อียูจะประชุมเกี่ยวกับนโยบายคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพราะมาตรการคว่ำบาตรนี้จะหมดอายุลงในเดือนกรกฎาคมนี้ ตามความเห็นของผู้สังเกตการณ์ มีความเป็นไปได้สูงที่อียูจะไม่เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเนื่องจากถูกคัดค้านจากประเทศสมาชิกที่กำลังได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตร แต่ก็ยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะขยายเวลาการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเพราะวิกฤตในยูเครนจนถึงปัจจุบันยังไม่มีทางออกซึ่งจะสงผลให้การแสวงหามาตรการที่สมบูรณ์ให้แก่วิกฤตการเมืองในยูเครนยิ่งประสบอุปสรรค์มากขึ้น./.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด