เบื้องหลังคำประกาศที่แข็งกร้าวเกี่ยวกับการเจรจาด้านการค้าสหรัฐ-จีน

(VOVWORLD) - ตามกำหนดการ ในวันที่ 9 พฤษภาคม รองนายกรัฐมนตรีจีน ลิ่วเหอ จะนำคณะเจรจาของจีนไปร่วมการเจรจาที่สหรัฐ ซึ่งท่ามกลางความคาดหวังที่จะได้เห็นข้อตกลงยุติสงครามการค้าระหว่างสอง แต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กลับประกาศว่า สหรัฐจะเดินหน้าปรับขึ้นภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนในปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ใกล้จะหลุดพ้นจากความชะงักงัน ได้ตกเข้าสู่สถานการณ์ความตึงเครียดอีกครั้ง แต่อันที่จริงแล้วประชามติได้มองเห็นเบื้องหลังของคำประกาศที่แข็งกร้าวนี้คือวิธีการสร้างความได้เปรียบให้แก่วอชิงตันในการเจรจากับฝ่ายจีน
เบื้องหลังคำประกาศที่แข็งกร้าวเกี่ยวกับการเจรจาด้านการค้าสหรัฐ-จีน - ảnh 1นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐและนาย สีจิ้นผิง ประธานประเทศจีน (AFP) 

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้โพส์ตผ่านทวิตเตอร์ว่า อัตราภาษี 10% สำหรับสินค้า มูลค่าราว 200,000 ล้านดอลลาร์นั้นจะเพิ่มเป็น 25% ในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ขณะที่สินค้าอื่นๆ ราว 325,000 ล้านดอลลาร์ ที่ยังไม่ถูกเก็บภาษี ก็จะเริ่มใช้อัตราภาษี 25% เร็วๆ นี้เช่นกัน" ซึ่งการประกาศนี้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความปั่นป่วนให้แก่ตลาดโลก

ผลกระทบจากคำประกาศของวอชิงตัน

หลังคำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ตลาดหลักทรัพย์ในทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงหลายจุด โดยดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ประเทศจีนได้ลดลงร้อยละ 3.7  ดัชนี Shanghai Composite ลดลงร้อยละ 5.3 ดัชนี Shenzhen Composite ลดลงร้อยละ 5.56 ดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ ลดลงร้อยละ 1.6 รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐก็ลดลงเช่นกันเนื่องจากนักลงทุนหุ้นไปลงทุนในด้านที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า

หลังคำประกาศดังกล่าว 1 วัน ธนาคารกลางจีนได้ประกาศว่า จะอัดฉีดเงิน 2 แสน 8 หมื่นล้านหยวนหรือประมาณ 4 หมื่น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ตลาดผ่านการลดอัตราเงินสำรองของธนาคารขนาดเล็กๆเพื่อสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดและหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน ตามการคำนวณของ Bloomberg Economics ภาษีนำเข้าในระดับปัจจุบันจะทำให้การขยายตัวจีดีพีของจีนในปีนี้ลดลงร้อยละ 0.5 ถ้าหากสหรัฐปรับขึ้นภาษีร้อยละ 25 ตามคำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ การขยายตัวจีดีพีของจีนจะลดลงร้อยละ 0.9 และถ้าหากสินค้าทั้งหมดของจีนถูกเก็บภาษีจากสหรัฐ ตัวเลขนี้จะเป็นร้อยละ 1.5

เจ้าหน้าที่ของปักกิ่งได้แสดงความไม่พอใจต่อการประกาศของสหรัฐ และเผยว่า จีนจะไม่เจรจาภายใต้การถูกข่มขู่ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีจีน ลิ่วเหอ ก็ยังคงเดินทางไปเยือนสหรัฐโดยล่าช้ากว่ากำหนดการเดิม 1 วัน

กลยุทธ์สร้างแรงกดดัน

คำประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีขึ้นในสภาวการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศกำลังมีความคาดหวังต่อการเจรจาครั้งนี้ซึ่งจะเปิดทางให้แก่การประชุมสุดยอดสหรัฐ-จีนระหว่างนาย โดนัลด์ ทรัมป์ กับประประเทศประเทศจีน สีจิ้นผิง ในเดือนมิถุนายนนี้

เมื่อมองกลับไปนช่วงเดือนกันยายนปี 2018 ก่อนที่รองนายกรัฐมนตรีจีน ลิ่วเหอ จะมีแผนการไปเยือนประเทศสหรัฐ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ประกาศปรับขึ้นภาษีร้อยละ 10 ต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีน รวมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนจีนได้ตอบโต้สหรัฐโดยปรับขึ้นภาษีในอัตราเดียวกันต่อสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐ รวมมูลค่า 1 แสน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประธานประเทศจีน สีจิ้นผิง ได้สั่งยกเลิกแผนการเยือนสหรัฐของรองนายกรัฐมนตรี ลิวเหอ ซึ่งทำให้การยุติการเจรจาระหว่างสองฝ่ายยุติลง หลังจากตอบโต้กันด้วยการปรับขึ้นภาษี จนถึงต้นเดือนธันวาคมปี 2018 นาย โดนัลด์ ทรัมป์ และนาย สีจิ้นผิง ก็ตัดสินใจระงับสงครามการค้าและหันมาเจรจาข้อตกลงการค้า หลังจากทำการเจรจาหลายรอบ ทั้งสองฝ่ายก็บรรลุความคืบหน้าเมื่อเร็วๆนี้ แต่ยังมีปัญหาด้านเทคนิคที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการเจรจาระหว่างสองฝ่ายคือลิขสิทธิ์ทางปัญญาและการบังคับให้ถ่ายทอดเทคโนโลยี

การที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับขึ้นภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนอย่างกระทันหันได้ทำให้จีนและโลกประหลาดใจ แต่อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของผู้สังเกตการณ์ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นกลยุทธ์ก่อนเริ่มการเจรจาระหว่างสองฝ่ายผ่านการมีคำประกาศที่แข็งกร้าวนี้เพื่อผลประโยชน์ของสหรัฐ นอกจากนั้น เศรษฐกิจสหรัฐก็กำลังมีสัญญาณฟื้นตัว โดยตัวเลขสถิติด้านเศรษฐกิจที่สหรัฐประกาศล่าสุดปรากฎว่า เศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาสแรกได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 สูงกว่าการพยากรณ์ของตลาด ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลเพื่อให้สหรัฐเพิ่มแรงกดดันต่อจีนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการเจรจาครั้งนี้

ในทางเป็นจริง สงครามการค้าได้ทำให้ทั้งสองประเทศได้รับความเสียหายและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง การที่รองนายกรัฐมนตรีจีน ลิ่วเหอ เดินทางไปเยือนประเทศสหรัฐเพื่อเข้าร่วมการเจาจาท่ามกลางคำขู่ปรับขึ้นภาษีจากทางการวอชิงตันถือเป็นสัญญาณที่น่ายินดี เพราะประชามติหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะพยายามบรรลุข้อตกลงที่นำผลประโยชน์มาสู่ทั้งสองประเทศบนพื้นฐานของการให้ความเคารพกัน ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของจีนเท่านั้น หากยังสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐและเศรษฐกิจโลกอีกด้วย.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด