เวียดนามถือเป็น “ปัจจัยพิเศษ”ในกระบวนการเจรจาสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2

(VOVWORLD) - การพบปะสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2 ในระหว่างวันที่ 27 – 28 กุมภาพันธ์ ณ กรุงฮานอยคือหนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากทั่วโลก โดยการที่กิจกรรมเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีได้รับการจัดขึ้น ณ ประเทศเวียดนามแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของหุ้นส่วนระหว่างประเทศที่มีต่อเวียดนาม อีกทั้งแสดงให้เห็นว่า เวียดนามเป็นสมาชิกที่เข้มแข็ง มีความรับผิดชอบของประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยพิเศษในกระบวนการเจรจาสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี
เวียดนามถือเป็น “ปัจจัยพิเศษ”ในกระบวนการเจรจาสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2 - ảnh 1นาย ห่ากิมหงอก เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศสหรัฐให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามประจำสหรัฐ 

การประชุมสุดยอดสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2 ได้เสร็จสิ้นลงหลังการประชุมมาเป็นเวลา 2 วัน ณ กรุงฮานอย ซึ่งแม้จะไม่ประสบผลดั่งความคาดหวัง แต่ส่วนร่วมของเวียดนามในการอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ให้แก่การประชุมก็ได้รับการชื่นชมจากทั้ง 2 ฝ่าย โดยในการพบปะกับเลขาธิการใหญ่พรรค ประธานประเทศเหงวียนฟู้จ่องเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้ขอบคุณเวียดนามที่เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีให้แก่การประชุมในเวลาอันสั้น

การเป็นปัจจัยพิเศษ

บรรดานักวิเคราะห์ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่เวียดนามได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2 ว่า เวียดนามสามารถตอบสนองเงื่อนไขต่างๆ เช่น การรักษาความปลอดภัย สถานะทางภูมิศาสตร์ และประสบการณ์ในการจัดกิจกรรมระดับโลก แต่นอกจากเวียดนามแล้ว ประเทศอื่นๆในภูมิภาคก็สามารถตอบสนองเงื่อนไขดังกล่าวได้เช่นกัน ซึ่งนาย ห่ากิมหงอก เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศสหรัฐได้กล่าวถึงสาเหตุที่สหรัฐและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเลือกเวียดนามเป็นสถานที่จัดการประชุมดังกล่าวว่า“เวียดนามถือเป็น “ปัจจัยพิเศษ” ในกระบวนการเจรจาสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ซึ่งทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีต่างเห็นถึงสิ่งที่พวกเขาได้คาดหวังต่อกันในเวียดนาม นอกจากนี้ ประเทศเวียดนามก็เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาอันแรงกล้าเกี่ยวกับสันติภาพและความไกล่เกลี่ย การปรับปรุงความสัมพันธ์จากการเผชิญหน้ามาเป็นการสนทนา จากความระแวงสงสัยมาเป็นการสร้างความไว้วางใจเพื่อเปลี่ยนจากศัตรูเป็นหุ้นส่วน ทั้งนี้ เวียดนามไม่เพียงแต่เป็นสถานที่จัดการพบปะสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเท่านั้น หากยังเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายปิดฉากอดีต มองข้ามความแตกต่างเพื่อมุ่งสู่อนาคตอีกด้วย”

บรรดานักวิจัยด้านการเมืองของประเทศต่างๆได้เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าวของเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศสหรัฐ ห่ากิมหงอก พร้อมทั้งเผยว่า เวียดนามมีความสัมพันธ์ที่ดีงามกับทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี แม้สหรัฐและเวียดนามเคยทำสงครามกัน แต่หลังจากนั้นก็ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตและปัจจุบันก็เป็นหุ้นส่วนกัน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของความสัมพันธ์ทวิภาคี สำหรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี เวียดนามได้สถาปนาความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเมื่อปี 1950 ดังนั้น ทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีต่างให้ความสำคัญต่อบทบาทของเวียดนาม ส่วนนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐได้เผยว่า การจัดการพบปะสุดยอดระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งนี้ ณ ประเทศเวียดนามมีความหมายสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเวียดนามคือเป็นตัวอย่างที่ดีเกี่ยวกับความสำเร็จที่สามารถบรรลุได้ถ้าหากมีแนวคิดและจิตสำนึกที่ถูกต้อง

ก้าวกระโดดในการปฏิบัติแนวทางการต่างประเทศพหุภาคี

การที่เวียดนามได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดการพบปะสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นถึงการยกระดับชื่อเสียงของกรุงฮานอยในประชาคมโลกเนื่องจากมีส่วนร่วมที่เข้มแข็งให้แก่ความมั่นคงในภูมิภาคและโลก อีกทั้งสะท้อนการพัฒนานโยบายการต่างประเทศแบบพหุภาคีของพรรคและรัฐเวียดนาม นาย ห่ากิมหงอก เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำสหรัฐวิเคราะห์ว่า“นี่คือก้าวรพัฒนาที่สำคัญของงานด้านการต่างประเทศของเวียดนาม โดยการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคสมัยที่ 11 เมื่อปี 2011ได้ยืนยันถึงแนวทาง “เวียดนามเป็นสมาชิกที่เข้มแข็งและมีความรับผิดชอบของประชาคมระหว่างประเทศ” ซึ่งสะท้อนจากการมีส่วนร่วมแสวงหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ร้อนระอุในภูมิภาคและโลกเพื่อนำสันติภาพและเสถียรภาพไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ส่วนมติ 25 ของคณะเลขาธิการกลางพรรคเมื่อวันที่ 8 สิงหาคมปี 2018 เกี่ยวกับการยกระดับงานด้านการต่างประเทศได้ระบุว่า งานด้านการต่างประเทศต้องมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นคนกลางและการไกล่เกลี่ยในปัญหาต่างๆของภูมิภาคและโลก ดังนั้น การตัดสินใจรับหน้าที่เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดสหรัฐ-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีของเวียดนามถือเป็นก้าวกระโดดในการปฏิบัติแนวทางการต่างประเทศดังกล่าว”

ในกระบวนการโลกาภิวัตน์และการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดในปัจจุบัน สันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้น เวียดนามมีความรับผิดชอบต่อปัญหาต่างๆที่ประชาคมโลกให้ความสนใจและเมื่อเวียดนามต้องการความช่วยเหลือ ประชาคมโลกก็จะสนับสนุนเวียดนามเช่นกัน จากการเป็นสถานที่จัดการประชุมดังกล่าว เวียดนามได้กลายเป็นปัจจัยพิเศษในกระบวนการเจรจาระหว่างสหรัฐกับสาธารณัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเพื่อสันติภาพของโลก.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด