ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน – ผู้ที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เวียดนามกับโลก

(VOVWORLD) - ศาสตราจารย์หญิงชาวเวียดนาม เหงียนถุกเกวียน ผู้อำนวยการศูนย์โพลิเมอร์และสารอินทรีย์แข็ง (Organic solids) หรือCPOS ศาสตราจารย์ด้านเคมีและชีวเคมีของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บาราได้รับการโหวตให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกในปี 2019 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เธอได้กลับเวียดนามในฐานะประธานร่วมของคณะกรรมการตัดสินรางวัล VinFuture และได้ทุ่มเทความพยายามในการเชื่อมโยงวงการวิทยาศาสตร์ของเวียดนามกับวงการวิทยาศาสตร์โลก พร้อมทั้งจุดประกายความมุ่งมุ่นแก่บรรดานักวิทยาศาสตร์หญิงเวียดนามให้มีความหลงใหลในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
 
ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน – ผู้ที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เวียดนามกับโลก  - ảnh 1ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน (https://nhandan.vn)

ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์หญิงไม่กี่คนที่ติดกลุ่มรายชื่อนักวิจัยเจ้าของผลงานที่ถูกอ้างอิงถึงมากที่สุดในโลกหรือ HCR ซึ่งคิดเป็นเพียง1%จากรายชื่อนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกกว่า 4,000 คนเท่านั้น  โดยผลงานวิจัยของศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน มีความเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติทางอิเล็กทรอนิกส์ของโพลีอิเล็กโทรไลต์คอนจูเกต อินเทอร์เฟซในอุปกรณ์ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างและการขนส่งประจุในสารกึ่งตัวนำอินทรีย์ วัสดุใหม่สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์อินทรีย์ เป็นต้น เมื่อกล่าวถึงการเลือกวิจัยวัสดุใหม่สำหรับการใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสารอินทรีย์ ศาสตรจารย์ เกวียน เผยว่า เธอเติบโตมาในบ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จึงให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์

“ดิฉันเห็นว่า ปัญหาพลังงานของเวียดนามมีความสำคัญมาก และเวียดนามเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในด้านนี้ เช่น พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำลังพัฒนาเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ดิฉันยังหวังว่า เวียดนามจะมีวิสัยทัศน์ที่ดียิ่งขึ้นในเรื่องการรีไซเคิลในระดับโลก เวียดนามสามารถลงทุนในการทำวิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหล่านั้น เช่น การรีไซเคิลพลาสติกหรือลดการใช้ให้น้อยลง และหันมาใช้วัสดุธรรมชาติที่เรามีจำนวนมาก หรือพัฒนาจนสามารถรีไซเคิลแบตเตอรี่ได้ก็จะทำให้เวียดนามนำหน้าประเทศอื่น ๆ  15-20 ปี”                         

นาง เหงียนถุกเกวียน เกิดเมื่อปี 1970 ในครอบครัวที่มีพี่น้อง 5 คนในหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองบวนมาถวด จังหวัดดั๊กลัก เมื่ออายุ 21 ปี นาง เกวียน กับพ่อแม่และพี่น้องของเธอย้ายไปอยู่ที่สหรัฐ ซึ่งศาสตราจารย์ เกวียน เล่าว่า ในช่วงสองปีแรก  เธอร้องไห้หลายครั้งแล้วขอกลับเวียดนามเพราะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษและขนบธรรมเนียมแปลกๆ สิ่งที่ยากที่สุดคือภาษา ไปไหนมาไหนก็ต้องใช้ล่าม และเส้นทางที่นำเธอไปสู่การเป็นนักวิทยาศาสตร์แตกต่างจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ  เพราะเธอสนใจวิชาประวัติศาสตร์โลก วรรณกรรมและภูมิศาสตร์ แต่เนื่องจากประสบปัญหาด้านภาษา เธอจึงไปเรียนวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งนั่นทำให้พบว่าเธอมีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มสนใจวิชาเคมีและเริ่มเดินตามเส้นทางนี้

เมื่อเดือนกันยายนปี 1995 เธอสมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองลอสแองเจลิส และทำงานพาร์ทไทม์ในห้องปฏิบัติการด้วยการล้างอุปกรณ์ ถึงแม้สนใจงานวิจัยแต่เธอไม่ได้ถูกรับเข้าทำงาน และได้รับคำแนะนำให้เรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอได้เก็บคำแนะนำดังกล่าวมาคิดและเห็นว่า “ไม่มีใครสามารถขวางเราในการทำให้ความฝันกลายเป็นความจริงได้” โดยเธอเข้าร่วมชั้นเรียนภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติ 4 ชั้นเรียน และไปเรียนที่ศูนย์ฝึกอบรมสำหรับนักศึกษา นอกจากนี้ เธอยังทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารและร้านทำเล็บเพื่อจะได้มีเงินไปเรียน หลังจากเรียนจบเมื่อปี 1997 เธอสมัครเรียนปริญญาโท และหลังจากนั้นเพียง 1 ปี เธอก็ได้รับปริญญาโทสาขาฟิสิกส์-เคมี เธอตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาเอก และในปีสุดท้าย เธอได้กลายเป็น 1 ใน 7 นักศึกษาปริญญาเอกระดับเกียรตินิยมของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและได้รับทุนการศึกษา ต่อมาในปี 2004 เธอได้เป็นอาจารย์ที่ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บาราหรือ UCSB

5 ปีแรกถือเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน ยังคงพยายามเป็นอย่างมากเพื่อพิสูจน์ให้คนอื่น ๆ เห็นถึงคุณค่าและความสามารถของเธอ จนถึงปัจจุบัน เธอมีห้องปฏิบัติการส่วนตัว 7 ห้องและมีทีมวิจัยของตนเอง

สำหรับศาสตราจารย์คนอื่น ๆจะมีห้องปฏิบัติการของตนเองและยังได้รับเงินสนับสนุนด้วย แต่สำหรับดิฉัน ตอนที่เข้าทำงานที่มหาวิทยาลัย ดิฉันต้องขอผู้บริหารหลายครั้งและต้องรอกว่า 2 ปีถึงจะมีห้องปฏิบัติการของตัวเอง”

ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน เป็นประธานร่วมของคณะกรรมการตัดสินรางวัล VinFuture ของกลุ่มบริษัท Vingroup ซึ่งเขา รู้สึกเป็นเกียรติและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เวียดนามมีการมอบรางวัลวิทยาศาสตร์ที่มีคุณค่านี้ ทำให้ชุมชนนักวิทยาศาสตร์นานาชาติมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีรางวัลสำหรับนักวิทยาศาสตร์หญิง

รางวัล Vinfuture มีความหมายมาก รางวัลนี้ไม่ใช่แค่ของกลุ่มบริษัท Vingroup เท่านั่น หากยังเป็นของประชาชาติเวียดนามอีกด้วย เพราะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และประชาชนทั่วโลกรู้จักเวียดนามมากขึ้น อีกทั้งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างวงการวิทยาศาสตร์เวียดนามกับโลก”

ศาสตราจารย์ เหงียนถุกเกวียน กำลังมีแผนการที่จะก่อสร้างสถาบันวิจัยที่มีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยและเปิดเวิร์กช็อปเพื่อเชื่อมโยงนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของเวียดนามกับวงการวิทยาศาสตร์โลก เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เวียดนามได้มีโอกาสเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในโลก เพื่อปฏิบัติความฝันในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศให้เจริญเข้มแข้งมากขึ้น.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด