เหงียนแทงหว่ายฟันฝ่าความปวดร้าวจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน

(VOVworld) - “เรารู้ดีว่าแม้จะเศร้าหรือมีความสุขมันก็ยังคงเป็นเรื่องจริง เราเป็นผู้เคราะห์ร้ายโดนสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน ร่างกายพิการตลอดชีวิต ดังนั้นต้องฟันฝ่าอุปสรรคและใช้ชีวิตให้มีความหมายมากที่สุด” นี่คือความคิดเห็นของคุณเหงียนแทงหว่าย ผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในจังหวัดซ๊อกจังในการพูดคุยกับคุณ ลานแอง ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามเนื่องในโอกาสเข้าร่วมการประชุมใหญ่แข่งขัน ทั่วประเทศเพื่อผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินครั้งที่ 3 ที่ได้มีขึ้น ณ กรุงฮานอยเมื่อเร็วๆนี้

(VOVworld) - “เรารู้ดีว่าแม้จะเศร้าหรือมีความสุขมันก็ยังคงเป็นเรื่องจริง เราเป็นผู้เคราะห์ร้ายโดนสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน ร่างกายพิการตลอดชีวิต ดังนั้นต้องฟันฝ่าอุปสรรคและใช้ชีวิตให้มีความหมายมากที่สุด” นี่คือความคิดเห็นของคุณเหงียนแทงหว่าย ผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินในจังหวัดซ๊อกจังในการพูดคุยกับคุณลานแอง ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามเนื่องในโอกาสเข้าร่วมการประชุมใหญ่แข่งขันทั่วประเทศเพื่อผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินครั้งที่ 3 ที่ได้มีขึ้น ณ กรุงฮานอยเมื่อเร็วๆนี้

เหงียนแทงหว่ายฟันฝ่าความปวดร้าวจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน - ảnh 1
เหงียนแทงหว่ายฟันฝ่าความปวดร้าวจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน (Photo soctrangtv.vn)

“ผมชื่อเหงียนแทงหว่าย ผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินรุ่นที่ 3 ในสมัยที่ไปโรงเรียน ผมถูกเพื่อนแซวอยู่ตลอด จึงรู้สึกเศร้ามาก เมื่อผมเรียนจบแล้วไปสมัครงาน หลายบริษัทได้ปฏิเสธรับผมเข้าทำงานเพราะผมเป็นคนพิการ แต่ผมไม่เคยย่อท้อ แค่รู้สึกเศร้านิดหน่อย”
เมื่อได้พบปะพูดคุยกับคุณเหงียนแทงหว่าย ปลัดสำนักสมาคมผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินจังหวัดซ๊อกจังเราถึงจะรู้สึกได้ว่าเขาเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและมองชีวิตในแง่ดี แม้พิการขาทั้งสองข้างแต่เขาไม่เคยย่อท้อต่อชีวิตและโชคชะตา แถมมีแววตาเปล่งประกายและรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าตลอดเวลา “ผมไม่เคยย่อท้อ โชคชะตาของผมเป็นอย่างนั้น ก็ต้องฟันฝ่ามันไปให้ได้เพราะเรารู้ดีว่าแม้จะเศร้าหรือสุข นี่คือความจริง เราต้องเผชิญหน้าและฟันฝ่าไป หลังจากที่ถูกปฏิเสธรับเข้าทำงานในครั้งแรก อีกประมาณ 3-4 เดือนต่อมา ผมก็ได้งานทำ แถมยังมีหลายบริษัทรับผมเข้าทำงาน เพราะผมเรียนสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและมีทักษะความสามารถในการจัดกิจกรรมทางสังคมด้วย”
หลังจากที่ได้งานทำ คุณหว่ายได้มีโอกาสพบผู้หญิงที่ต่อมาได้เป็นภรรยาของตนในปัจจุบัน ซึ่งเขาเล่าว่า จากการพูดคุยและหารือกันในระหว่างการทำงานได้ช่วยให้ทั้งสองคนมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น “ภรรยาของผมก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินและเป็นสมาชิกของสมาคมผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน หลังจากนั้นเธอได้ไปเรียนต่อที่สหรัฐ และเพื่อหาข้อมูลสำหรับงานวิจัย เธอก็ได้ติดต่อทางเนตแล้วขอข้อมูลจากผม พวกเราได้คุยกันหลายเรื่องอย่างถูกคอกัน”
นายหว่ายเล่าว่า สองคนอยู่ห่างกันครึ่งโลก พูดคุยเกี่ยวกับการทำงาน ชีวิตและฝึกภาษาอังกฤษด้วยกัน พร้อมทั้งให้กำลังใจต่อกันเพื่อฟันฝ่าความลำบากต่างๆ “หลังจากที่คบกันเป็นเวลา 4 ปี ปี 2010 ภรรยาของผมก็กลับเวียดนามและเราจึงแต่งงานกันหลังจากนั้น 2 ปี”
ในฐานะปลัดสำนักสมาคมผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินจังหวัดซ๊อกจัง คุณหว่ายเข้าใจและเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ประสบปัญหาคล้ายกับเขาและยังมีบางคนเจ็บปวดกว่าตนทั้งร่างกาย จิตใจและฐานะการเงินหลายเท่า ดังนั้นเขาได้บอกกับตัวเองว่า ต้องพยายามมากขึ้นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในสมาคมฯเพื่อให้การช่วยเหลือพวกเขาอย่างดีที่สุด คุณหว่ายคิดอยู่ตลอดว่า “เทพเจ้าจะไม่เอาอะไรของคุณไปทั้งหมด ซึ่งหากได้เอาอะไรไปแล้ว คุณก็จะได้อย่างอื่นมาทดแทน” ดังนั้นแม้บางครั้งจะเศร้าใจแต่ก็ควรเชื่อมั่นว่า ในอนาคตเราจะได้รับการชดเชยสิ่งที่เสียไปในปัจจุบัน”.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด