พัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพจากการทำเกษตรปลอดสารพิษ

(VOVWORLD) - จากความประสงค์ที่จะจัดสรรอาหารอินทรีย์ที่ปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค เยาวชนหลายคนในจังหวัดดั๊กลั๊กได้พัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพจากโครงการเกษตรอินทรีย์ โดยสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มีส่วนร่วมเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับอาหารที่ปลอดภัยและพฤติกรรมของผู้บริโภค
พัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพจากการทำเกษตรปลอดสารพิษ - ảnh 1การทำธุรกิจสตาร์ทอัพจากการพัฒนาการเกษตรปลอดสารพิษ ได้รับความสนใจจากเยาวชนจำนวนมาก

ภายหลังปฏิบัติโครงการพัฒนาการเกษตรปลอดสารพิษเป็นเวลากว่า 6ปี ผลิตภัณฑ์ของฟาร์ม H.T ในแขวงแถ่งเหยิด เมืองบวนมาถวดได้ถูกวางขายตามร้านขายอาหารปลอดสารพิษในจังหวัดดั๊กลั๊กและนครโฮจิมินห์โดยสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคง ฟาร์ม H.T สามารถผลิตผักผลไม้เพื่อป้อนให้แก่ตลาดเฉลี่ย 100-150ก.ก.ต่อวัน โดยเฉพาะบางช่วงสามารถผลิตผักผลไม้ได้มากถึง 400-500ก.ก. ขายในราคา 30,000-55,000ด่งต่อกิโลกรัม ซึ่งสร้างงานทำให้แก่แรงงาน 6คน ด้วยเงินเดือน 4-5ล้านด่งต่อคน

นาย เงินดึ๊กควา เจ้าของฟาร์ม H.T ได้เผยว่า เพื่อสามารถจัดสรรผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าได้อย่างเพียงพอ เขาได้เชื่อมโยงกับอีก 3ครอบครัวเพื่อแนะนำวิธีการผลิต เทคนิกและการตรวจกระบวนการผลิต พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับบริษัท Rau cười Việt Nhật จำกัดและบริษัท Nico Nico Yasai จำกัดเพื่อค้ำประกันการจำหน่ายผลิตภัณฑ์“ประชาชนนับวันนิยมผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษมากขึ้น ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษมีตลาดรองรับและพัฒนามากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์ของฟาร์ม H.T ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจนบางทีไม่มีผลิตภัณฑ์เพียงพอเพื่อจัดสรรให้แก่ลูกค้า ดังนั้น เราจึงวางแผนขยายพื้นที่ปลูกผักผลไม้และก่อสร้างฟาร์มเลี้ยงสุกรเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย อีกทั้งเชื่อมโยงกับครอบครัวเกษตรกรเพื่อแนะนำวิธีการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้แก่พวกเขา”

พัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพจากการทำเกษตรปลอดสารพิษ - ảnh 2นาย  อีเทอ เฮอร์วิง กำลังเก็บเกี่ยวที่สวน

ก็เหมือนโครงการเกษตรอินทรีย์ของฟาร์ม H.T โครงการพัฒนาสวนที่ตำบลกือเอบูร์ เมืองบวนมาถวดก็ต้องขยายพื้นที่ผลิตเพื่อเพิ่มปริมาณผักผลไม้ที่ป้อนให้แก่ตลาดและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจสำหรับเยาวชน  นาย อีเทอ เฮอร์วิง หนึ่งในผู้ริเริ่มโครงการพัฒนาสวนที่ตำบลกือเอบูร์ได้เผยว่า แม้โครงการนี้จะเพิ่งได้รับการปฏิบัติ แต่การเชื่อมโยงระหว่างการผลิตเกษตรและการท่องเที่ยวทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับความสนใจมากขึ้น มีลูกค้าในเมืองบวนมาถวดและเขตใกล้เคียงจองบริการส่งผักไปยังร้านอาหาร รวมค่าบริการ 500,000-650,000ด่งต่อเดือน จากความประสงค์ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยของประชาชน กลุ่มผู้ริเริ่มโครงการพัฒนาสวนที่ตำบลกือเอบูร์กำลังวางแผนใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ต่างๆมากขึ้น“เราให้บริการแก่ครอบครัวต่างๆในเมืองบวนมาถวด เช่น ขายผักผลไม้ต่างๆตามความต้องการของลูกค้า ส่วนในเวลาข้างหน้า เรามีแผนพัฒนาการผลิตและการแปรรูปผักผลไม้เป็นอาหารว่างและเครื่องดื่ม”

พัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพจากการทำเกษตรปลอดสารพิษ - ảnh 3การผลักดันการท่องเที่ยวในโครงการพัฒนาสวนที่ตำบลกือเอบูร์

หลังจากปฏิบัติโครงการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ในจังหวัดดั๊กลั๊กเป็นเวลาเกือบ 4ปี ปัจจุบัน บริษัทหุ้นส่วนเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง Agrieco Việt Nam ได้ขยายการปฏิบัติโครงการนี้ในจังหวัดต่างๆในเขตที่ราบสูงเตยเงวียนและภาคกลาง โดยที่จังหวัดดั๊กลั๊ก มีการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ในพื้นที่เกือบ 6,000 ตารางเมตรในเมืองบวนมาถวดและอำเภอกือเมอร์การ์ ที่สามารถผลิตผักชนิดต่างๆเฉลี่ย 30ตันต่อเดือน นอกจากป้อนให้แก่ตลาดในนครโฮจิมินห์และกรุงฮานอยแล้ว ผลิตภัณฑ์ของบริษัทถูกวางขายตามร้าน Vinmart ต่างๆในเมืองบวนมาถวด ทางบริษัทฯได้จ้างแรงงานในท้องถิ่น 6คนเพื่อทำการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตภัณฑ์ในฟาร์มด้วยเงินเดือน 5-6 ล้านด่งต่อคน

นาย ฟานเงวียนบิ๊ก ผู้อำนวยการใหญ่บริษัทหุ้นส่วนเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง Agrieco Việt Nam ได้เผยว่า ทางบริษัทฯกำลังปฏิบัติโครงการต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนการก่อสร้างโรงเรือนปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์และเชื่อมโยงกับฟาร์มต่างๆในภูมิภาคเพื่อเพิ่มประมาณการผลิต ค้ำประกันการจำหน่ายผักแบบไฮโดรโปนิกส์และมุ่งสู่การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มมูลค่าและทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น“รูปแบบโรงเรือนปลูกผักมีจุดแข็งต่างๆ เช่น การผลิตเกษตรครบวงจร การกำจัดศัตรูพืช การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น เป็นต้น ในเวลาข้างหน้า ทางบริษัทฯจะปฏิบัติโครงการต่างๆที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดของประชาชนในเขตที่ราบสูงเตยเงวียนเกี่ยวกับผักที่ปลอดสารพิษและผักไฮโดรโปนิกส์”

จากการมองเห็นศักยภาพในด้านนี้ เยาวชนหลายคนในจังหวัดดั๊กลั๊กได้เลือกโครงการเกษตรอินทรีย์เป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ ซึ่งนอกจากช่วยสร้างรายได้และสร้างฐานะให้แก่ตนเองแล้ว ยังช่วยปรับเปลี่ยนความคิดของประชาชนเกี่ยวกับอาหารที่ปลอดภัยด้วย .

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด