ข้อตกลงอีวีเอฟทีเอมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการครบรอบ 1 ปีซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 อย่างรุนแรงในทั่วโลก ที่ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งเวียดนามและอียู แต่มูลค่าการส่งออกระหว่างสองฝ่ายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงที่ข้อตกลงฉบับนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ เวียดนามได้เปรียบดุลย์การค้าในการส่งออกไปยังตลาดอียูกว่า1 หมื่น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าหลักที่เวียดนามส่งออกไปยังตลาดอียูคืออุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รองเท้า สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผักผลไม้ สัตว์น้ำ ข้าวและกาแฟ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่อียูส่งออกมายังตลาดเวียดนามคือสารเคมี เภสัชภัณฑ์ รถยนต์และอะไหล่ ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการและผู้บริโภคเวียดนาม ถึงขณะนี้ อียูเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่อันดับที่ 2 ของเวียดนามในด้านการส่งออกและหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่ 4 ของเวียดนามในด้านการค้าต่างตอบแทน

ข้อตกลงอีวีเอฟทีเอไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าต่างตอบแทนเท่านั้นหากยังช่วยดึงดูดการลงทุนของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย นาย เหงียนห่งเยียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนามย้ำว่า “ในด้านการลงทุนในเวลาที่ผ่านมา จากคำมั่นในการบริหารที่โปร่งใสตามข้อตกลงอีวีเอฟทีเอและคำมั่นที่จะสร้างบรรยากาศการค้าและการลงทุนอย่างโปร่งใส อำนวยความสะดวกให้แก่สถานประกอบการและนักลงทุนของทั้งสองฝ่าย เวียดนามได้เข้าถึงแหล่งลงทุนที่มีคุณภาพ ได้เรียนรู้และประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ทันสมัยจากอียู สร้างมูลค่าและเอื้อประโยชน์ให้แก่สถานประกอบการและนักลงทุนของทั้งสองฝ่าย"

นาย เลมิงห์ฮวาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและพัฒนาชนบท (nongnghiep.vn)

สำหรับข้อตกลงอีวีเอฟทีเอ นอกจากได้ใช้โอกาสจากการเปิดตลาดในระยะสั้นในเวลาที่ผ่านมา สำนักงาน กระทรวง หน่วยงานและท้องถิ่นต่างๆของเวียดนามได้ทำการปฏิรูปและลดระเบียบราชการต่างๆเพื่อสนับสนุนสถานประกอบการในการเข้าถึงตลาด ควบคู่กันนั้น เวียดนามก็พยายามบริหารสถานประกอบการเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลเพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต ถึงแม้ทั้งเวียดนามและอียูได้ใช้โอกาสจากคำมั่นต่างๆในข้อตกลงอีวีเอฟทีเอได้อย่างเต็มที่ แต่ในเวลาที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบในทางลบในทั่วโลก จึงไม่สามารถเห็นได้ชัดเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายจากข้อตกลงฉบับนี้ ดังนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อประเมิน นาย เลืองหว่างท้าย อธิบดีกรมการค้าพหุภาคี สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์แสดงความคิดเห็นว่า “ปัจจุบันนี้ ในสภาวการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เกิดปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องแก้ไขคือการขนส่งสินค้าระหว่างสองฝ่ายโดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องถึงการแก้ปัญหาโรคระบาด เช่น วัคซีน ยา อุปกรณ์การแพทย์ นี่คือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งกระทรวงและหน่วยงานต่างๆของเวียดนาม รวมทั้ง กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ให้คำมั่นเข้มแข็งเพื่อแก้ไขอุปสรรคเหล่านี้ ซึ่งความพยายามนี้ของเวียดนามได้รับคำชื่นชมจากอียู”

อาจกล่าวได้ว่าในด้านต่างๆเช่น สัตว์น้ำ เวียดนามได้ใช้ความได้เปรียบจากข้อตกลงอีวีเอฟทีเอแต่ปัญหา “ใบเหลือง” ที่อียูประกาศต่อสัตว์น้ำของเวียดนามยังคงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไข นาย เลมิงห์ฮวาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและพัฒนาชนบทย้ำว่า “ก่อนอื่น เราต้องแสวงหามาตรการแก้ไขปัญหา “ใบเหลือง” ของอียู นี่คือความเสี่ยงในการค้าระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้เวียดนามมุ่งสู่ระบบการประมงที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบ”

อีวีเอฟทีเอเป็นหนึ่งในข้อตกลงฉบับแรกที่มีโครงการและแผนปฏิบัติการที่มีลักษณะทั่วไปจากระดับรัฐบาลไปจนถึงระดับกระทรวง หน่วยงานและท้องถิ่น ตลอดจนองค์กร สถานประกอบการต่างๆก็มีแผนปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจากการสรุปอุปสรรคและความท้าทายหลังการปฏิบัติมาเป็นเวลา 1 ปี กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์จะยื่นข้อเสนอต่างๆให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อปรับปรุงโครงการปฏิบัติร่วมของรัฐบาลในการบังคับใช้ข้อตกลงอีวีเอฟทีเอในเวลาที่จะถึงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อไม่เพียงแต่ใช้โอกาสจากสินค้าที่มีความได้เปรียบเท่านั้น หากยังสามารถดึงดูดการลงทุนในด้านใหม่ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีศักยภาพเพื่อร่วมกันพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต./.