ประธานประเทศ เลืองเกื่อง ถ่ายรูปกับผู้แทนที่เข้าร่วมการสัมมนา

ในการกล่าวปราศรัยในการสัมมนา ประธานประเทศ เลืองเกื่อง ได้ย้ำถึงความสำคัญของชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์ วันที่ 30 เมษายน 1975 ที่รวมประเทศเป็นเอกภาพ ช่วยให้ประชาชาติเวียดนามย่างเข้าสู่ศักราชแห่งเอกภาพ เอกราชและก้าวรุดหน้าไปบนเส้นทางสังคมนิยม ซึ่งผลสำเร็จดังกล่าวมีส่วนร่วมไม่น้อยของหน่วยงานการทูตเวียดนาม โดยเฉพาะบทบาทในการสร้างสรรค์สันติภาพและปกป้องปิตุภูมิ ตลอดจนแสดงความประสงค์ว่า การสัมมนาครั้งนี้ จะช่วยระบุปัจจัย  บทบาทและส่วนร่วมที่โดดเด่นของหน่วยงานการทูตเวียดนามในการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประชาชาติ รวมประเทศเป็นเอกภาพและพัฒนา และย้ำว่า

ประธานประเทศ เลืองเกื่อง กล่าวปราศรัยในการสัมมนา

“ลักษณะแห่งยุคที่มีความหมายอย่างลึกซึ้งของ “เรื่องราวเวียดนาม” ยังคงทรงคุณค่าแห่งเส้นทางแสวงหาสันติภาพที่ยั่งยืน การสนทนา การสมานบาดแผลสงคราม การปรองดองชาติ การฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ โลกกำลังเปลี่ยนแปลงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อและมีลักษณะประวัติสาสตร์ และเวียดนามก็ตระหนักดีว่า อนาคตและชะตากรรมของประเทศมีความผูกพันกับสันติภาพ เสถียรภาพ ความร่วมมือและการพัฒนาในภูมิภาคและโลก ดังนั้นย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ ซึ่งเป็นศักราชแห่งการผงาด เวียดนามพร้อมมีส่วนร่วมที่เข้มแข็งและเป็นฝ่ายรุกในกระบวนการเมืองโลก เศรษฐกิจโลกและอารยธรรมของมนุษยชาติ”

ภาพการสัมมนา

ในการสัมมนา นักการทูต นักวิชาการระหว่างประเทศและเพื่อนมิตรนานาชาติต่างได้ยืนยันถึงความหมายของชัยชนะเมื่อวันที่ 30 เมษายนปี 1975และการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของเวียดนามหลังสงคราม ซึ่งเป็นตัวอย่างแห่งสันติภาพ การฟื้นฟู การพัฒนา การปิดฉากอดีตเพื่อมุ่งสู่อนาคต นาย John McAuliff ซีอีโอกองทุนไกล่เกลี่ยและพัฒนาสหรัฐ ผู้ที่เคยเข้าร่วมขบวนการประท้วงสงครามในเวียดนามของประชาชนสหรัฐช่วงปี 1960 ได้ยืนยันว่า

“เวียดนามมีสถานะพิเศษเพียงประเทศเดียว โดยได้รับการไว้วางใจจากทั้งประเทศที่ไม่เคยสนับสนุนในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นกับเวียดนาม เวียดนามมีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก ด้วยผลงานจากชัยชนะ 30 เมษายนปี 1975 และจากผลสำเร็จในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจ”.