(VOVWORLD) - ในตลอดเกือบ 70 ปี แห่งความสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างเวียดนามกับอินโดนีเซีย ความร่วมมือด้านการศึกษาได้กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนและความเข้าใจกัน โดยมีการเปิดคอร์สสอนภาษา โครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา และหลักสูตรการฝึกอบรมด้านวัฒนธรรม ล้วนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมความเข้าใจและการเชื่อมโยงระหว่างคนรุ่นใหม่ของเวียดนามกับอินโดนีเซีย
พิธีลงนามความตกลงร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สังกัดมหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอยกับมหาวิทยาลัย Malikussaleh ของอินโดนีเซีย (USSH) |
ในทุกๆ เช้าวันอังคาร อาจารย์ วันกิมหว่างห่า จะมีคลาสสอนภาษาอินโดนีเซียให้แก่นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชาการแปลและการตีความภาษาอินโดนีเซีย วิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาตินครโฮจิมินห์ ซึ่งเป็น 1 ในมหาวิทยาลัย 3 แห่งที่กำลังเปิดการเรียนการสอนภาษาอินโดนีเซียในเวียดนาม นอกเหนือจาก มหาวิทยาลัยเปิดนครโฮจิมินห์ และมหาวิทยาลัยแห่งชาติในกรุงฮานอย นี่สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณเชิงบวกในการให้ความสนใจต่อการส่งเสริมความเข้าใจด้านภาษา วัฒนธรรม และสังคมของประเทศอินโดนีเซีย ในระยะยาว ดร. เจิ่นถิแถ่ง หัวหน้าภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะตะวันออกศึกษา วิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอย เผยว่า
“พวกเราได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียในกรุงฮานอยด้วยการส่งอาจารย์ชาวอินโดนีเซียมาสอน พร้อมการสถาปนาความสัมพันธ์และความร่วมมือผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยบางแห่งของอินโดนีเซีย ฉันหวังว่า ในอนาคตจะมีนักศึกษาที่สนใจเรียนภาษาและวัฒนธรรมอินโดนีเซียเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้น จะช่วยยกระดับความเข้าใจของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับประเทศอินโดนีเซีย อีกทั้งกระชับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมและการค้าระหว่างเวียดนามกับอินโดนีเซีย”
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอินโดนีเซียก็ให้การต้อนรับกลุ่มนักศึกษาเวียดนามที่เดินทางไปศึกษาผ่านโครงการทุนการศึกษาต่างๆ เช่น Darmasiswa โดยในทุกๆ ปี จะมีทุนการศึกษาสำหรับการเรียนภาษา วัฒนธรรม และศิลปะในอินโดนีเซียให้กับนักศึกษาเวียดนามประมาณ 20 คน ส่วนโครงการการสอนภาษาอินโดนีเซียให้กับชาวต่างชาติหรือ BIPA ของรัฐบาลอินโดนีเซีย ได้เริ่มดำเนินการในเวียดนามตั้งแต่ปี 2019 นางสาว เหงวียนถิเกี่ยว นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา วิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอย และนาย ห่าวันเหล่ย ไกด์นำเที่ยว ได้แบ่งปันความรู้สึกเมื่อได้เข้าร่วมโครงการ BIPA ว่า
“ตัวฉันเองรู้สึกโชคดีมากที่ได้เรียนภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งช่วยให้ฉันมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศนี้ รวมถึงการสร้างความเชื่อมโยงและการแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ชาวอินโดนีเซียหลายคน และด้วยพื้นฐานภาษาอินโดนีเซียที่ดี ฉันก็สามารถหางานพาร์ทไทม์ที่ใช้ภาษานี้ได้”
“เพื่อนผมได้แนะนำคอร์สเรียน BIPA ของสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซีย ซึ่งอาจารย์ที่สอนเป็นชาวอินโดนีเซีย ซึ่งช่วยปรับปรุงการใช้ภาษาของผมให้ดีขึ้นอย่างมาก รวมถึงการทำงานเป็นไกด์นำเที่ยวของผมด้วย”
นอกเหนือจากความร่วมมือระหว่างสถาบันฝึกอบรมในด้านภาษาและวัฒนธรรมแล้ว ยังมีมหาวิทยาลัยของเวียดนามและอินโดนีเซียหลายแห่งได้สร้างความสัมพันธ์และลงนามข้อตกลงความร่วมมือหลายฉบับ ซึ่งจากตัวเลขสถิติของสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-อินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในเวียดนามและอินโดนีเซียอย่างน้อย 24 ฉบับ โดยล่าสุด ในกรอบการเยือนประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการของเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โตเลิม เมื่อเดือนมีนาคมปี 2025 ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามเอกสารความร่วมมือในหลายด้าน รวมถึงด้านการศึกษาและฝึกอบรม ระหว่างสถาบันการทูตเวียดนามและสถาบันการสื่อสารและธุรกิจ LSPR ของอินโดนีเซีย
เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศเวียดนาม Denny Abdi ได้ประเมินศักยภาพความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศว่า เป็นด้านที่ต้องการวางกลยุทธ์ในระยะยาว อีกทั้งย้ำว่า
“รัฐบาลทั้งสองประเทศยังคงสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เอื้ออำนวยในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา แต่ด้วยจำนวนมหาวิทยาลัยในเวียดนามกว่า 1,000 แห่งและในอินโดนีเซียกว่า 4,000 แห่ง ศักยภาพความร่วมมือนั้นยังมีอีกมาก”
กิจกรรมแนะนำเกี่ยวกับอี-คอมเมิร์ซของอินโดนีเซีน ณ มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สังกัดมหาวิทยาลัยแห่งชาติโฮจิมินห์ |
ส่วน รศ. ดร. ฝ่ามวันถวี หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์โลก คณะประวัติศาสตร์ วิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอย เผยว่า เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่คนรุ่นใหม่ที่มีทักษะความสามารถในการปรับตัวเข้ากับการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ในอนาคต ความร่วมมือด้านการศึกษาของทั้งสองประเทศจะต้องมีการขยายไปสู่สาขาใหม่ๆ
“นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์ในรูปแบบเดิมแล้ว ทางมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยหลายแห่งของทั้งสองประเทศควรจัดตั้งโครงการที่ให้ความสำคัญต่อสาขาใหม่ต่างๆ เช่น เทคโนโลยี นวัตกรรมและการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือพลังงานหมุนเวียน ซึ่งจะเป็นแนวทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศและทั่วภูมิภาค”
ทั้งนี้ การลงทุนด้านการศึกษาคือการลงทุนในอนาคต ซึ่งความร่วมมืออย่างยั่งยืนระหว่างเวียดนามกับอินโดนีเซียในปัจจุบันนั้น จะเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่งสำหรับคนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศบนเส้นทางสู่การสร้างสรรค์ประชาคมอาเซียนที่ร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นและเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน.