(VOVWORLD) -กลุ่มสถานประกอบการเวียดนามได้มีส่วนร่วมที่สำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกัมพูชาผ่านโครงการการลงทุนและความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งการปรากฏตัวของกลุ่มบริษัทเวียดนามนั้น ไม่เพียงแค่สร้างโอกาสในการจ้างงานจำนวนมากและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาชนกัมพูชาอีกด้วย ทำให้ความสัมพันธ์มิตรภาพอันดีงามที่มีมาอย่างช้านานระหว่างเวียดนามกับกัมพูชานั้น นับวันพัฒนาอย่างเข้มแข็งมากขึ้น
นาง Som Srey Neat พนักงานของบริษัทฯ |
“เมื่อก่อน พวกเราขาดแคลนหลายอย่าง เงินก็ไม่มีจึงต้องกู้ธนาคารหรือไม่มีรถให้ใช้ แต่เมื่อได้ทำงานที่บริษัท ชีวิตก็เปลี่ยนไป มีมอเตอร์ไซค์ให้ใช้ ลูก ๆ อิ่มท้องและได้ไปโรงเรียน ชีวิตมั่นคงขึ้นกว่าสมัยก่อน สามีของฉันก็ทำงานที่นี่ด้วย”
นี่คือความรู้สึกของนาง Pau Chanda สมาชิกในครอบครัวกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในโครงการของเครืออุตสาหกรรมยางพาราเวียดนามที่กัมพูชา ก่อนหน้านั้น ครอบครัวนาง Chanda อาศัยอยู่ใน จังหวัด Kampong Cham ซึ่งมีฐานะยากจนมาก การงานก็ไม่มั่นคง ชีวิตขาดแคลนหลายอย่าง แต่ตั้งแต่ได้รับเข้ามาทำงานที่บริษัทยางพารา Krông Buk – Ratanakiri สังกัดเครืออุตสาหกรรมยางของเวียดนามนั้น ชีวิตของครอบครัวเธอค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนนาง Som Srey Neat ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทฯ มาเกือบ 6 ปีแล้ว ได้เผยว่า เครืออุตสาหกรรมยางพาราเวียดนามคือบ้านหลังที่สองของเธอ
“ผู้คนที่นี่อบอุ่นและเป็นกันเองมาก ๆ ดิฉันถือบริษัทฯ เหมือนบ้านหลังที่สองของตัวเอง โดยบรรดาผู้บริหารของบริษัทฯ ให้ความสนใจและความช่วยเหลืออย่างมาก เช่น วันนี้ ลูกของฉันไม่สบาย แล้วผู้บริหารของบริษัทฯ ก็มาเยี่ยมและให้เงินซื้อยา ให้ฉันลางานเพื่ออยู่บ้านดูแลลูก เมื่อก่อน ตอนคลอดลูก ทางบริษัทฯ ยังสนับสนุนรถรับ-ส่งอีกด้วย ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ทั้งใช้นี้หมดและมีเงินเก็บไปซื้อที่ดิน แต่ยังไม่ปลูกบ้านเพราะตอนทำงาน ก็มีที่พักของบริษัท และลูกก็ได้ไปเรียนที่โรงเรียนของบริษัทฯ”
นาย เจืองมิงห์จุง (Trương Minh Trung) รองประธานกรรมการเครืออุตสาหกรรมยางพาราเวียดนาม (VRG) และรองประธานประจำคณะกรรมการพัฒนายางพาราของ VRG ในกัมพูชา เผยว่า หลังจากที่ลงหลักปักฐานในกัมพูชามาเป็นเวลา 17 ปี จนถึงปัจจุบัน เครือ VRG มีบริษัทลูกทั้งหมด 16 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัดของกัมพูชา มีพื้นที่ปลูกยางพาราเกือบ 90,000 เฮกตาร์ และจ้างแรงงานประมาณ 20,000 คน อัตราค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่ 350-400 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งสวัสดิการสังคมถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่เครือบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ
“ปัจจุบัน พวกเราได้จัดสรรวงเงินลงทุนประมาณ 86 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับกิจกรรมสวัสดิการสังคมและกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน เช่น โครงการด้านสาธารณสุข ศาสนา วัฒนธรรม โรงเรียน และกิจกรรมชุมชน ซึ่งการดำเนินโครงการด้านสวัสดิการสังคมและชุมชนดังกล่าวจะยังคงมีอยู่ต่อเนื่องในตลอดระยะเวลาการลงทุนของเครือในประเทศกัมพูชา”
นาย เจืองมิงห์จุง (Trương Minh Trung) รองประธานกรรมการเครืออุตสาหกรรมยางพาราเวียดนาม |
เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ตามลุ่มแม่น้ำโขง กลุ่มจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชาได้รับความสนใจจากบริษัทเวียดนามหลายแห่งที่อยากเข้ามาลงทุนขยายกิจการ โดยเฉพาะในด้านเกษตรกรรม นาย จิงต้วนเกียน (Trịnh Tuấn Kiên) รองกรรมการผู้จัดการของโครงการศูนย์เกษตรกรรม Koun Mom Agricultural Complex สังกัดเครือบริษัทเกษตรกรรม เจื่องหาย (Trường Hải – THACO AGRI) ประจำประเทศกัมพูชา เผยว่า โครงการด้านการเกษตรของบริษัทฯ ในจังหวัดรัตนคีรีและกระแจะ มีพื้นที่รวมอยู่ที่ประมาณ 35,000 เฮกตาร์ ซึ่งปัจจุบัน มีคนงานกว่า 12,000 คนในทั้งสองโครงการ ส่วนในปีนี้ บริษัทฯ มีความต้องการรับสมัครแรงงานเพิ่มอีกประมาณ 6,000 ตำแหน่ง
“สำหรับแรงงานใหม่ที่เข้ามาทำงาน พวกเรามีโครงการฝึกอบรมทักษะเต็มรูปแบบ มีที่พักให้ พร้อมอาหาร 3 มื้อต่อวัน เรทเงินเดือนเริ่มต้นอยู่ที่ 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และในทุก ๆ เดือน พวกเราจะทำการประเมินฝีมือเพื่อปรับเงินเดือนให้สูงขึ้น พร้อมเสนอเส้นทางพัฒนาการงานเพื่อสามารถเลื่อนตำแหน่งให้สูงถึงระดับผู้จัดการภายใน 1-1.5 ปี กับฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังมีการลงทุนในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ โรงเรียน และโรงพยาบาลขนาดเล็ก เพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของคนงานในโครงการต่าง ๆ ของ Thaco Agri กัมพูชา”
ทั้งนี้ ในตลอดช่วงเวลาของการลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศกัมพูชา องค์กรธุรกิจหลายแห่งของเวียดนามต่างได้รับการสนับสนุนและยกย่องจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ในท้องถิ่น ทั้งในการเสียภาษีอย่างถูกต้องและยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมสวัสดิการสังคมของชุมชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกด้วย.