นิมิตหมายแห่งความสัมพันธ์เวียดนาม-สหภาพยุโรปในปี2012

(VOVworld)- ปี2012ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เวียดนาม-สหภาพยุโรปหรืออียูได้มีพัฒนาการที่สำคัญซึ่งสะท้อนให้เห็นจากเหตุการณ์พิเศษต่างๆทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยผลสำเร็จที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุในปี2012ได้มีส่วนร่วมนำความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ภายหลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมากว่า20ปี
(VOVworld)- ปี2012ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เวียดนาม-สหภาพยุโรปหรืออียูได้มีพัฒนาการที่สำคัญซึ่งสะท้อนให้เห็นจากเหตุการณ์พิเศษต่างๆทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยผลสำเร็จที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุในปี2012ได้มีส่วนร่วมนำความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ภายหลังการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตมากว่า20ปี
นิมิตหมายแห่งความสัมพันธ์เวียดนาม-สหภาพยุโรปในปี2012 - ảnh 1
พิธีลงนามข้อตกลงพีซีเอระหว่างเวียดนาม-อีบยู

ปี2012เป็นปีที่เต็มไปด้วยนิมิตหมายใหม่แห่งความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพระหว่างเวียดนาม-อียู โดยที่สำคัญคือการลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนและร่วมมือในทุกด้านเวียดนาม-อียูหรือพีซีเอในโอกาสที่ท่านฝามบิ่งมิงรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเยือนยุโรป ซึ่งข้อตกลงพีซีเอได้สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาสู่ส่วนลึกในทุกด้านระหว่างสองฝ่ายอย่างมีชีวิตชีวานับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อกว่า20ปีก่อนรวมทั้งเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ที่สอดคล้องกับระดับความเชื่อมโยงและบทบาทของอียูในศตวรรษที่21และสถานะกับพลังที่นับวันยิ่งเข้มแข็งของเวียดนามภายหลังได้ดำเนินภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่มากว่า25ปีพร้อมทั้งได้ผสมผสานเข้ากับกระแสโลกอย่างสำเร็จ  ซึ่งท่านฝามบิ่งมิงได้ยืนยันว่า เมื่อเทียบกับข้อตกลงที่เวียดนามและคณะกรรมการยุโรปหรืออีซีได้ลงนามเมื่อปี1995 ข้อตกลงพีซีเอได้สะท้อนให้เห็นถึงผลประโยชน์และความสนใจในอันดับต้นๆของทั้งสองฝ่ายได้อย่างกลมกลืนข้อตกลงพีซีเอครั้งนี้ได้ช่วยขยายขอบเขตความร่วมมือไปยังด้านที่เวียดนามต้องการเช่น วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และการศึกษาฝึกอบรม ส่วนฝ่ายอียูก็สามารถผลักดันความร่วมมือกับเวียดนามในปัญหาระดับโลกเช่นความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การรับมือกับความท้าทายใหม่ด้านความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้ายหรือการต่อต้านการเผยแพร่อาวุธที่มีอนุภาพการทำลายล้างสูงเป็นต้น

นิมิตหมายแห่งความสัมพันธ์เวียดนาม-สหภาพยุโรปในปี2012 - ảnh 2
ประธานสภายุโรป เฮอร์มาน วาน รอมปุย เยือนเวียดนามครั้งแรก

ปี2012 เวียดนามได้ต้อนรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอียูหลายคณะเช่น สมาชิกสภายุโรปดูแลด้านความร่วมมือพัฒนา  ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักงานด้านการต่างประเทศของอียู โดยเฉพาะคือการเยือนเวียดนามครั้งแรกของประธานสภายุโรป เฮอร์มาน วาน รอมปุย ตามคำเชิญของประธานประเทศนับตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี1990 ซึ่งในกรอบการเยือนนี้ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่าจะกระชับความร่วมมือในทุกด้านโดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูง อำนวยความสะดวกให้สถานประกอบการเวียดนามและอียูลงทุนประกอบธุรกิจทั้งในด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง พลังงาน การเงิน สาธารณสุข การท่องเที่ยวและการบริการ  นอกจากนี้ยังมีการกำหนดด้านที่ควรให้ความสนใจก่อนในช่วงปี2014-2020คือการลดความยากจน การพัฒนาอย่างยั่งยืน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เวียดนามและอียูยังเห็นพ้องต่อการสนับสนุนความพยายามเพื่อสร้างสรรค์อาเซียนที่สันติภาพ เสถียรภาพและร่วมมือมิตรภาพ  ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องค้ำประกันความมั่นคงและความปลอดภัยในการเดินเรืออย่างเสรีในทะเลตะวันออก เกี่ยวกับความสำคัญของความร่วมมือระหว่างสองฝ่าย ท่าน เฮอร์มาน วาน รอมปุย ได้ย้ำว่าเวียดนามคือหุ้นส่วนที่สำคัญเป็นพิเศษของอียูในเอเซียและอาเซียน เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจสังคมพัฒนาอย่างรวดเร็ว ประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในวัยเยาว์และมีความรู้ความสามารถ ซึ่งผมหวังว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายจะได้รับการขยายกว้างบนพื้นฐานข้อตกลงพีซีเอนี้ พวกเราก็ให้ความสนใจต่อผลสำเร็จในด้านต่างๆของเวียดนามเพราะจะเอื้อประโยชน์ให้แก่ทั้งภูมิภาคและมิตรประเทศในทั่วโลกด้วย.

นิมิตหมายแห่งความสัมพันธ์เวียดนาม-สหภาพยุโรปในปี2012 - ảnh 3
ประธานสภายุโรปให้การต้อนรับรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม

สำหรับผลสำเร็จทางเศรษฐกิจและค้าระหว่างสองฝ่าย ถึงแม้ในปีที่ผ่านมาจะยังประสบอุปสรรคความท้าทายมากมายเนื่องจากวิกฤตการเงินแต่จนถึงเดือนสิงหาคมปี2012 มูลค่าการค้าต่างตอบแทนเวียดนามอียูได้บรรลุกว่า1หมื่น8พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ23เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี2011 ปัจจุบันมี20ประเทศจากทั้งหมด27ประเทศสมาชิกอียูกำลังลงทุนในเวียดนามในกว่า1200โครงการรวมยอดเงินทุนจดทะเบียนกว่า1หมื่น8พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเฉพาะปี2012เวียดนาม-อียูได้เริ่มการเจรจารอบแรกเพื่อมุ่งลงนามข้อตกลงการค้าเสรีหรือเอฟทีเอ ซึ่งจะสร้างพื้นฐานให้ทั้งสองฝ่ายใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ท่าน แฟรง เจนส์เซน  เอกอัครราชทูต หัวหน้าคณะกรรมการยุโรปประจำเวียดนามเผยว่าผมเห็นว่า การเจรจาข้อตกลงเอฟทีเอไม่เพียงแต่นำมาซึ่งผลประโยชน์ให้แก่เวียดนามเท่านั้นหากรวมทั้งฝ่ายอียูด้วย โดยปัจจุบันเวียดนาม-อียูคือหุ้นส่วนที่ดีของกันดังนั้นต้องมุ่งสร้างสรรค์เขตการค้าที่สะดวกและเอื้อประโยชน์อย่างเต็มที่ให้แก่ทั้งสองฝ่าย.

จากความตั้งใจอันแน่วแน่ของบรรดาผู้นำระดับสูง บวกกับผลงานที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุในรอบ23ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะผลงานสำคัญต่างๆในปี2012 จะช่วยสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่เพื่อนำความสัมพันธ์เวียดนาม-อียูพัฒนาเข้าสู่ส่วนลึกและจริงจังมากขึ้นในทุกด้านในปี2013./. 
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด