อีอาตู กาแฟ สหกรณ์กาแฟที่มีชื่อเสียงในเขตที่ราบสูงเตยเงวียน

(VOVWORLD) -เมื่อเร็วๆ นี้ อีอาตู กาแฟ ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของสหกรณ์การเกษตร การให้บริการและความเท่าเทียมอีอาตูในตำบลอีอาตู นครบวนมาถวด จังหวัดดั๊กลั๊กได้ติดท็อป 100 ผลิตภัณฑ์ดีเด่นของสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยได้รับรางวัล มายอานเตียมจากสมาพันธ์สหกรณ์เวียดนาม ซึ่งถือเป็นรางวัลที่มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะในขณะที่สมาชิกของสหกรณ์ส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยเผ่าเอเด
 
อีอาตู กาแฟ สหกรณ์กาแฟที่มีชื่อเสียงในเขตที่ราบสูงเตยเงวียน - ảnh 1การปลูกกาแฟช่วยให้ชาวเอเดมีชีวิตที่อิ่มหนำผาสุขมากขึ้น

ในโรงงานของสหกรณ์ฯ นาย เจิ่นดิ่งจ่อง ผู้อำนวยการของสหกรณ์กำลังตรวจสอบกล่องเมล็ดกาแฟอย่างรอบคอบก่อนที่จะส่งออกไปยังสหรัฐ ในขณะที่ แรงงานหลายคนก็กำลังทำการบรรจุกาแฟลงในหีบห่อเพื่อส่งให้แก่ลูกค้าตามใบสั่งผ่านระบบอินเตอร์เน็ต นาง เฮอบาน บโต จากหมู่บ้านอีอาตาม ตำบลอีอาตู กล่าวว่า

“เมื่อปี 2015 ฉันเข้าเป็นสมาชิกของสหกรณ์ฯ โดยปฏิบัติตามวิธีการที่ทางสหกรณ์สอนให้ กาแฟของครอบครัวฉันมีไม่มากนักแต่ขายได้ราคาดีจึงช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเรามีเสถียรภาพ”

สหกรณ์การเกษตร ให้บริการและความเท่าเทียมอีอาตูได้รับการก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมปี 2015 โดยในตอนแรกมีสมาชิกแค่ 49 คนแต่ขณะนี้มี 260 คน มีพื้นที่ปลูกกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า 300 เฮกตาร์ ส่วนทางสหกรณ์ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ คือ ปลูก ผลิต แปรรูป จำหน่าย สนับสนุนเรื่องปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตร เป็นต้น นาย เจิ่นดิ่งจ่อง ผู้อำนวยการสหกรณ์ฯ เผยต่อไปว่า

 “ถ้าหากมีแค่ 1 หมู่บ้านผลิตกาแฟแบบอินทรีย์ก็ยากที่ประสบความสำเร็จแต่ถ้าทั้งตำบลทำก็จะง่ายขึ้น นั่นคือความปรารถนาของทางสหกรณ์ฯ เมื่อเริ่มก่อตั้งสหกรณ์ฯ ผมได้รณรงค์ให้ชาวบ้านปลูกกาแฟ พริกไทยและทุเรียน หลังจากที่ลองปลูกก็เห็นว่าดีมาก และจะทำการขยายผลต่อไปเพื่อสร้างระบบการเพาะปลูกที่ได้มาตรฐานและสร้างรายได้ที่มั่นคง”

อีอาตู กาแฟ สหกรณ์กาแฟที่มีชื่อเสียงในเขตที่ราบสูงเตยเงวียน - ảnh 2ชาวต่างชาติชอบมาเยือนสวนปลูกต้นกาแฟของเวียดนาม

สำหรับต้นกาแฟของสหกรณ์เป็นพันธุ์ Robusta ที่ได้รับใบรับรองทางการค้า ซึ่งหลังจากที่เข้าเป็นสมาชิกของสหกรณ์ฯ ทุกครอบครัวมีฐานะดีขึ้น นาง เฮอมวาน เอบาน หัวหน้าของกลุ่มผลิตหมายเลข 2 เผยว่า เกษตรกรได้รับการสนับสนุนต่างๆ จากสหกรณ์ เช่น ปุ๋ย ยากำจัดวัชพืช  ส่วนสมาชิกจะดูแลสวนกาแฟตามขั้นตอนมาตรฐานเพื่อควบคุมคุณภาพของกาแฟ

“ เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบสวนปลูกกาแฟของสมาชิก เราก็ต้องตรวจสอบว่า พวกเขาทำถูกต้องตามเงื่อนไขแล้วหรือยัง ผลผลิตที่เก็บได้จะขายให้สหกรณ์ เมล็ดกาแฟที่สุกประมาณร้อยละ 85 จะมีราคาขาย 2,000 – 5,000 ด่งต่อกิโลกรัม ส่วนราคากาแฟสุกจะแพงกว่านั้น”

ดังนั้น เพื่อช่วยให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ในราคาที่สูงขึ้น ทางสหกรณ์ฯ ได้ช่วยเหลือสมาชิกและเกษตรกรในท้องถิ่นเปลี่ยนวิธีการปลูก ผลิตกาแฟที่มีมาตรฐานต่างๆ รวมทั้งมาตรฐานระหว่างประเทศและติดแสตมป์ตรวจสอบย้อนกลับสินค้า นอกจากนี้ ทางสหกรณ์ฯ ยังเป็นสมาชิกของสมาคมกาแฟเฉพาะถิ่นที่ผลิตตามมาตรการ Honey ที่หมักผลไม้สุกและตากแห้งแบบธรรมชาติ ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่เมล็ดกาแฟและเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรทุกคน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด