นาย ท้ายแทงลอง นักธุรกิจ และหัวหน้าฝ่ายการติดต่อของสมาคมสถานประกอบการเวียดนามในอินโดนีเซีย

นาง เจิ่นเหลียว อยู่อาศัยในกรุงจาการ์ตา ฟังวิทยุ อ่านข่าว และอัพเดทสถานการณ์เกี่ยวกับประเทศเวียดนามอยู่เสมอ รวมถึงการควบรวมจังหวัดและนคร และการดำเนินการของทางการปกครองสองระดับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม นาง เหลียว เผยว่า

“ดิฉันเชื่อมั่นว่า การควบรวมจังหวัดและนครและการดำเนินรูปแบบทางการปกครองท้องถิ่น 2 ระดับเป็นแนวทางที่ถูกต้องของพรรคและรัฐในปัจจุบันเมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดิจิทัลได้พัฒนาเป็นอย่างมาก ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของทั้งระบบการเมือง การเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการอย่างเข้มแข็งจะช่วยให้เวียดนามพัฒนามากขึ้นต่อไป”

นาง เลเทือง นายกสมาคมชาวเวียดนามในเขตคันไซ ประเทศญี่ปุ่น ยืนยันว่า การปรับโครงสร้างองค์กรบริหารราชการในระบบการเมืองเวียดนามให้กระทัดรัดเป็นการแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายสูงสุดคือเพื่อประชาชน

“ดิฉันเชื่อมั่นว่า สิ่งที่สำคัญคือการถือประชาชนเป็นศูนย์กลางและถือประสิทธิผลเป็นบรรทัดฐาน  และในปัจจุบัน ในยุคแห่งการผสมผสานเข้ากับกระแสโลก ดิฉันหวังว่า ชาวเวียดนามทุกคนไม่ว่าจะอยู่ภายในประเทศหรือต่างประเทศจะมีส่วนร่วมต่อกระบวนการสร้างสรรค์เวียดนามที่พัฒนา มีอารยธรรมและมีความเมตตา”

นาย บูดิอาร์ซา ซาสตราวินาตา ซีอีโอของเครือบริษัท Ciputra ประเทศอินโดนีเซีย

ส่วนนาย ท้ายแทงลอง นักธุรกิจ และหัวหน้าฝ่ายประสานงานของสมาคมสถานประกอบการเวียดนามในอินโดนีเซียแสดงความเชื่อมั่นต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่จะเอื้อให้แก่นักลงทุนมากขึ้นเมื่อทางการปกครอง 2 ระดับเริ่มดำเนินการ

ในขณะเดียวกัน นาย บูดิอาร์ซา ซาสตราวินาตา ซีอีโอของเครือบริษัท Ciputra ประเทศ อินโดนีเซียแสดงความเห็นว่า การปฏิรูปครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่เศรษฐกิจเวียดนามที่กำลังพัฒนา

“นโยบายล่าสุดของรัฐบาลเวียดนาม โดยเฉพาะแผนการปรับโครงสร้างองค์กรบริหารราชการให้กระทัดรัดได้อำนวยความสะดวก สร้างความเชื่อมั่นให้แก่สถานประกอบการและนักลงทุน ช่วยลดเวลาในการทำระเบียบราชการ ดังนั้น จึงได้รับการชื่นชมจากนักลงทุนต่างชาติ”

ส่วนนักลงทุนต่างชาติหลายคนยืนยันว่า ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรบริหารราชการอย่างเข้มแข็ง เวียดนามจะประสบความสำเร็จในยุคใหม่ของประเทศอย่างแน่นอน.