ทางเข้าอุโมงค์ในเขตหว่างแถ่งห์ช่วงเดือนกันยายนนี้  (Kim Liễu/VOV5)

ได้มีการเปิดอุโมงค์บัญชาการลับแห่งกองบัญชาการเสนาธิการใหญ่กองทัพประชาชนเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่เป็นความลับในช่วงสงครามที่ตั้งในพื้นที่แหล่งมรดกวัฒนธรรมโลกพระราชวังหว่างแถ่งทังลองเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก อุโมงค์บัญชาการลับแห่งกองบัญชาการเสนาธิการใหญ่ได้รับการก่อสร้างเมื่อปี1966 รวมพื้นที่ 37ตารางเมตร อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 4-5 เมตร มี 3 ห้อง แบ่งเป็นห้องทำงาน 2 ห้องและห้องตั้งอุปกรณ์เทคนิก 1 ห้อง สามารถทนต่อแรงระเบิดปรมาณู รังสีและแก๊สพิษ ในอุโมงค์มีระบบปรับอากาศไอน้ำและระบบระบายอากาศธรรมชาติ  ระบบสกัดสารพิษ  ระบบป้องกันสนามแม่เหล็ก สามารถเข้าทำงานพร้อมกันได้รอบละ 10-15 คน

คุณเหงวียน แค้งห์เวิน  (Nguyễn Khánh Vân) เจ้าหน้าที่ของเขตโบราณสถานพระราชวังหว่างแถ่งทังลองทำหน้าที่พานักท่องเที่ยวเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆในพื้นที่เผยว่า อุโมงค์บัญชาการลับของกองบัญชาการเสนาธิการใหญ่แห่งกองทัพเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุโมงค์ลับในเขตหว่างแถ่งทังลอง ติดกับบ้าน D67 และบังเกอร์ของคณะกรรมาการทหารส่วนกลางและอุโมงค์บัญชาการรบ T1 โดยในช่วงสงครามกู้ชาติ อุโมงค์บัญชาการลับถือเป็นศูนย์กลางการสนองข้อมูลข่าวสาร ค้ำประกันให้การสื่อสารเป็นความลับ ทั้งเอกสาร ข่าวสาร รายงาน และโทรเลขจำนวนมากได้ถูกส่งไปทุกสนามรบ และเหล่าทัพก็หมุนเวียนกันอย่างต่อเนื่อง มีส่วนสำคัญโดยตรงต่อการชี้นำของกองบัญชาการกองทัพประชาชนเวียดนาม อุโมงค์นี้ถูกใช้มากที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม ปี 1972 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กองทัพอากาศสหรัฐได้เปิดการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ถล่มกรุงฮานอยและเมืองไฮฟองอย่างดุเดือด ทำให้กองบัญชาการต้องลงไปทำงานที่อุโมงค์ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันเพื่อชี้นำการต่อสู้และค้ำประกันให้การสื่อสารจากกรุงฮานอยไปยังสนามรบเป็นไปอย่างราบรื่น มีส่วนร่วมในการนำไปสู่ชัยชนะครั้งใหญ่ฤดูใบไม้ผลิปี1975  นาง ดั๋ง ถิ มวน (Đặng Thị Muôn) อดีตทหารหน่วยรหัส กรมการรหัสลับกองบัญชาการทหารส่วนกลางเผยว่า "ระหว่างการทำสงครามกู้ชาตินั้น เราต้องส่งโทรเลขชี้นำจำนวนมากทั้งจากท่าน เล หยวน ท่าน ฝามหุ่งห์ ท่าน  เล ดึ๊ก เถาะ เป็นต้น คือทั้งรับส่งข่าวสารจากภาคใต้และภาคเหนือ หน่วยแปลรหัสทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพราะ โทรเลขเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต้องรับส่งตรงเวลาในทุกชั่วโมง ทุกนาที อย่างต่อเนื่อง"  

ทางลงอุโมงค์

อุโมงค์บัญชาการลับแห่งนี้ได้รับการรักษาฟื้นฟูบูรณะขึ้นใหม่ให้มีสภาพสมบูรณ์เกือบเหมือนเดิม พร้อมทั้งได้มีการจัดแสดงโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าต่างๆ อาทิ ตราประทับ C58 ตราประทับหนังสือด่วน ตราประทับเอกสารด่วนพิเศษ โทรเลขลับ ปากกาหมึก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ระลึกที่เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างเงียบๆ ของเจ้าหน้าที่และทหารที่ทำหน้าที่ถอดรหัสลับ นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งจอโทรทัศน์เพื่อฉายภาพยนตร์สารคดี ระบบเสียงบรรยายเพื่อช่วยให้ผู้ชมสามารถย้อนอดีตสู่ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ดร. เล ถิ มินห์ ลี้ (Lê Thị Minh Lý) รองประธานสมาคมมรดกทางวัฒนธรรมเวียดนามกล่าวว่า "ในช่วงสงคราม มีหลายเรื่องที่ไม่ได้รับการเก็บรักษาเพื่อเป็นการปกปิดเป็นความลับ รวมถึงวิธีการสร้างอุโมงค์บัญชาการลับแห่งนี้ ซึ่งถือเป็นความลับระดับประเทศ ดังนั้น การจัดแสดงจึงต้องมีความละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง เราได้สร้างความมีชีวิตชีวาให้กับแหล่งประวัติศาสตร์นี้ด้วยภาพโพสเตอร์ที่อธิบายเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างถูกต้องและเรียบง่ายเพื่อให้สาธารณชนเมื่อเข้าไปดูก็สามาถเข้าใจได้"

สิ่งของที่มีค่าทางประวัติศาสตร์จัดแสดงในอุโมงค์

การเยี่ยมชมอุโมงค์บัญชาการลับ ผู้เข้าชมจะได้เห็นสิ่งของต่างๆเช่น โทรเลขลับ ภาพเจ้าหน้าที่และทหารที่ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน สัมผัสได้ถึงความดุเดือดของสงครามและจิตใจที่มุ่งมั่นอันแน่วแน่ของกองทัพและประชาชนเวียดนาม โดยนับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมจนถึงปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองหลวงฮานอย ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ คณะครูและนักเรียนของโรงเรียน Hanoi Star ที่เข้าเยี่ยมชมได้กล่าวแสดงความรู้สึกว่า

"ความรู้สึกของคุณครูและนักเรียนเมื่อลงไปถึงห้องใต้ดิน สูดอากาศข้างล่าง ก็รู้สึกสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณแห่งความรักชาติ บรรยากาศอันเคร่งขรึมและกล้าหาญของชาติ"
"เมื่อลงไปถึงห้องใต้ดิน ผมรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะห้องใต้ดินนั้นใหญ่กว่าที่ผมจินตนาการไว้ ผมมีความสุขและตื่นเต้นมาก"

อนุสรณ์สถานแห่งการปฏิวัติอุโมงค์บัญชาการลับกองเสนาธิการทหารแห่งกองทัพประชาชนเวียดนามแห่งนี้ได้มีส่วนช่วยเสริมสร้างคุณค่าอันโดดเด่นของแหล่งมรดกวัฒนธรรมโลก หว่างแถ่งทังลอง โดยการอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าของแหล่งประวัติศาสตร์นี้ไม่เพียงแต่มุ่งปลูกฝังเกียรติประวัติแห่งความรักชาติเท่านั้น แต่ยังร่วมหล่อเลี้ยงความคาดหวังในสันติภาพของชาวเวียดนามในอนาคตอีกด้วย.