(VOVWORLD) - เศรษฐกิจภาคเอกชนกำลังพัฒนาอย่างเข้มแข็ง เป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจและนับวันมีบทบาทเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่การกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจได้ให้ข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจภาคเอกชนต้องส่งเสริมบทบาทการเดินหน้าในศักราชใหม่
เศรษฐกิจภาคเอกชนถูกระบุครั้งแรกในเอกสารของการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคสมัยที่ 6 ปี 1986 ต่อมาในมติที่ 10 ของคณะกรรมการส่วนกลางสมัยที่ 12 เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนปี 2017 ได้ระบุว่า ต้องพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนให้เป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่สำคัญของเศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยม ซึ่งปัจจุบัน เศรษฐกิจภาคเอกชนมีบริษัทกว่า 6.1 ล้านแห่ง โดยเป็นธุรกิจครัวเรือนกว่า 5.2 ล้านแห่ง
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งต้องมีเศรษฐกิจภาคเอกชนที่พัฒนา
นาย หวูดึ๊กยาง ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทตัดเย็บเสื้อผ้าเหวียดเตี๊ยน ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทตัดเย็บเสื้อผ้าหมายเลข10 และประธานสมาคมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปเวียดนามได้เผยว่า ถึงเวลาแล้วที่3เสาหลักของเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยภาครัฐ ภาคลงทุนจากต่างประเทศหรือเอฟดีไอและภาคเอกชนต้องมีตัวขับเคลื่อนใหม่ที่คล่องตัว นั่นคือเศรษฐกิจภาคเอกชน โดยการยกเลิกกำแพงกีดกันและการได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันจะช่วยให้เศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นพลังขับเคลื่อนที่เข้มแข็งที่สุด นำประเทศเวียดนามพัฒนาเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วและก้าวไปสู่ระดับโลก พร้อมทั้งย้ำว่า ถ้าสถานประกอบการภาคเอกชนไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ก็จะเป็นแค่โรงงานรับจ้างของสถานประกอบการข้ามชาติเท่านั้นมิใช่เป็นศูนย์กลางการผลิตและเทคโนโลยีที่แท้จริงที่สามารถแข่งขันได้อย่างทัดเทียมกับเศรษฐกิจอื่นๆในภูมิภาค เพราะเมื่อ สินค้าเวียดนามสามารถเจาะตลาดที่ไหน soft border ของเวียดนามก็ถูกขยายถึงที่นั่น ดังนั้น ต้องเพิ่มจำนวนและส่วนร่วมของเศรษฐกิจภาคเอกชนมากขึ้น
นาย เหงวียนกวางฮวน ผู้แทนสภาแห่งชาติสมัยที่ 15 ประธานกรรมการบริหารบริษัทหุ้นส่วน Halcom เวียดนามได้ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าไม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเอกชน เวียดนามก็ไม่สามารถบรรลุการขยายตัวที่เลขสองหลักได้ ส่วนนาย เจิ่นวันเล ผู้อำนวยการบริษัทหุ้นส่วนเครื่องกลไฟฟ้า เฟืองลิง ได้เผยว่า สารที่เข้มแข็งของบรรดาผู้นำพรรคและรัฐเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนช่วยให้สถานประกอบการมีความมั่นใจมากขึ้นในการขยายการผลิตและประกอบธุรกิจเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ
“แนวทางของพรรคและรัฐบาลชัดเจนมาก ซึ่งเศรษฐกิจเวียดนามกำลังมีโอกาสที่สำคัญเพื่อพัฒนารุดหน้าและก้าวไปสู่ระดับโลก ผมรู้สึกภาคภูมิใจมากและมุ่งมั่นขยายการลงทุนตามแนวทางของพรรค”
อย่างไรก็ตาม สถานประกอบการเอกชนเวียดนามต้องเปลี่ยนแปลงแนวความคิดเกี่ยวกับการพัฒนา มีวิสัยทัศน์ระยะยาว กำหนดแนวทางการพัฒนาในระยะต่างๆ สร้างสรรค์และเรียนรู้รูปแบบธรรมาภิบาลที่ทันสมัย ยกระดับเทคโนโลยีผสานกับการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลและการพัฒนาสีเขียวที่ยั่งยืน
ทั้งระบบการเมืองร่วมแก้ไขอุปสรรค
นอกจากความพยายามและความมุ่งมั่นของสถานประกอบการ ต้องมีการช่วยเหลือและการเข้าร่วมของทั้งระบบการเมืองบนเจตนารมณ์หาทุกวิถีทางเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเอกชนเป็นแรงกระตุ้นสำคัญอันดับต้นๆของเศรษฐกิจ โดยในการประชุมกับคณะกรรมการด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ส่วนกลางเกี่ยวกับมาตรการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างก้าวกระโดดในการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนเวียดนามเมื่อวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา เลขาธิการใหญ่พรรค โตเลิม ได้ย้ำว่า ต้องยึดหลักส่งเสริมให้เศรษฐกิจภาคเอกชนเข้าร่วมและพัฒนาในทุกด้านอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“ต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชน สอดคล้องกับสถานการณ์พัฒนาเศรษฐกิจในปัจจุบัน พื้นที่และภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศ การปรับปรุงภูมิเศรษฐศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์เพื่อค้ำประกันการพัฒนา การปรับตัว ความยืดหยุ่น ขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสูง โครงสร้างพื้นฐานและแหล่งบุคลากรเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจภาคเอกชนพัฒนา”
ทั้งนี้ ตามการชี้นำของเลขาธิการใหญ่พรรค โตเลิม คณะกรรมการชี้นำการจัดทำร่างโครงการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนได้ประชุมครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่15 มีนาคมเพื่อวางแนวทางและเตรียมพร้อมยื่นเสนอให้แก่กรมการเมืองพรรค ซึ่งในร่างโครงการนี้ ต้องเสนอหน้าที่และมาตรการเชิงก้าวกระโดดเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจภาคเอกชนให้เป็นแกนหลักในกระบวนการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องจัดการสัมมนาเพื่อรวบรวมความคิดเห็นของกระทรวง หน่วยงาน ท้องถิ่น ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ สมาคมสถานประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว
เศรษฐกิจภาคเอกชนมีส่วนร่วมที่สำคัญในการกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนามในอนาคต ซึ่งเมื่อมีกลไกที่เหมาะสม บรรยากาศการประกอบธุรกิจที่สะดวก เศรษฐกิจภาคเอกชนจะได้รับการสนับสนุนให้พัฒนารุดหน้า มีส่วนร่วมต่อการขยายตัวเศรษฐกิจในระดับสูงและนำเวียดนามเป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้สูงในอีก 2 ทศวรรษข้างหน้า.