แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ภายหลัง 2 ปีของการปะทะในฉนวนกาซา
Quang Dung -  
(VOVWORLD) - การปะทะในฉนวนกาซาระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปี 2023 ยังคงส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อประชาชนและโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกฝ่ายก็กำลังเข้าใกล้แผนการยุติการปะทะมากกว่าที่ผ่าน ๆ มา
ชาวปาเลสไตน์รับอาหารที่ปรุงโดยครัวการกุศล ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 11 กันยายนปี 2024 (Reuters) |
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปี 2023 กองทัพอิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการทางทหารโจมตีฉนวนกาซา ซึ่งกำลังอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มฮามาส เพื่อตอบโต้การโจมตีหลายครั้งก่อนหน้านี้ของกลุ่มฮามาสที่สังหารทหารและลักพาตัวประชาชนจากหมู่บ้านหลายแห่งของอิสราเอล
สถานการณ์เลวร้าย
หลังจากเกิดการปะทะมาเป็นเวลา 2 ปี ฉนวนกาซากำลังเผชิญกับหนึ่งในภัยพิบัติทางมนุษยธรรมที่ร้ายแรงที่สุดในโลกในรอบหลายทศวรรษ ตามรายงานสถิติที่เผยแพร่โดยสำนักงานสาธารณสุขกาซา จนถึงวันที่ 6 ตุลาคมปี 2025 มีผู้เสียชีวิตกว่า 67,000 คนและได้รับบาดเจ็บเกือบ 170,000 คนจากการปะทะนี้ ซึ่งประมาณร้อยละ 80เป็นประชาชนปาเลสไตน์ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก สำหรับฝ่ายอิสราเอล จำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายพันคน โดยมีผู้เสียชีวิตเกือบ 1,200 คนจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปี 2023 มีคนถูกจับเป็นตัวประกันหลายร้อยคนและหลายคนเสียชีวิตในขณะถูกคุมขัง นอกจากจำนวนผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บที่มีจำนวนมากแล้ว โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รวมทั้ง ระบบไฟฟ้า น้ำประปาและโรงเรียนในฉนวนกาซาก็ถูกทำลายเกือบทั้งหมด ส่วนตัวเลขที่องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เผยแพร่เมื่อต้นเดือนตุลาคมได้แสดงให้เห็นว่า มีโรงพยาบาลเพียง 14 แห่ง จากทั้งหมด 36 แห่งในฉนวนกาซาที่ยังคงเปิดให้บริการท่ามกลางการขาดแคลนอุปกรณ์การแพทย์อย่างหนัก นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา สหประชาชาติยังประกาศภาวะอดอยากในฉนวนกาซาซึ่งเป็นพื้นที่แรกในตะวันออกกลางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ โดยมีประชาชน 500,000 คนตกอยู่ในภาวะอดอยากในขั้นหายนะ และจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่เกือบ 650,000 คน คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรในฉนวนกาซา ซึ่งสถานการณ์อันเลวร้ายในฉนวนกาซาภายหลัง 2 ปีของการปะทะได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติเผยว่า
“สิ่งที่เกิดขึ้นในกาซาในปัจจุบันน่ากลัวมาก เรากำลังเห็นการทำลายพื้นที่อยู่อาศัยเป็นบริเวณกว้าง การทำลายล้างเมืองกาซาอย่างเป็นระบบและการสังหารพลเรือน ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ความจริงก็คือมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ทั้งด้านศีลธรรม การเมืองและกฎหมาย”
ทั้งนี้ การปะทะในฉนวนกาซากำลังส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาคและเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรุนแรง โดยในปีที่ 2 ของการปะทะ ความรุนแรงในฉนวนกาซาได้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งที่ร้ายแรงอื่นๆ ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน โดยเฉพาะ การปะทะระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเป็นเวาลา 12 วัน ในระหว่างวันที่ 13-25 มิถุนายน ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าที่รุนแรงที่สุดระหว่างสองประเทศในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งนำไปสู่การแทรกแซงทางทหารโดยตรงของสหรัฐ ในระดับโลก ความไม่พอใจต่อนโยบายที่แข็งกร้าวของอิสราเอล รวมถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาซึ่งทำให้ประเทศพันธมิตรตะวันตกของอิสราเอลหลายประเทศรับรองรัฐปาเลสไตน์และทำให้อิสราเอลถูกโดดเดี่ยว
นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (Reuters) |
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
ในขณะที่การปะทะในฉนวนกาซาย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แรงกดดันให้ยุติการปะทะทันทีกำลังเพิ่มมากขึ้นจากทุกฝ่าย โดยที่สหรัฐและหลายประเทศในยุโรปซึ่งเป็นพันธมิตรของอิสราเอล ความไม่พอใจของประชาชนต่อสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซากำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงที่จะเกิดความไม่สงบทางสังคมในประเทศเหล่านี้ และทำให้รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงมากขึ้นเพื่อหาทางออกให้แก่ฉนวนกาซา แม้แต่ในอิสราเอล การประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลบรรลุข้อตกลงปล่อยตัวประกันกับกลุ่มฮามาสและยุติการปะทะก็กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง บวกกับเสียงพูดจากนักการเมืองและนักวิชาการของอิสราเอลโดยต่างกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาได้ก้าวข้าม “เส้นแดง” ทั้งในด้านศีลธรรมและกฎหมาย ในสภาวการณ์ดังกล่าว เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศแผนการสันติภาพ 20 ข้อสำหรับฉนวนกาซา โดยมีเนื้อหาหลักคืออิสราเอลถอนกองกำลังทหารออกจากฉนวนกาซา กลุ่มฮามาสจะปลดอาวุธและส่งมอบการบริหารจัดการฉนวนกาซาชั่วคราวให้แก่คณะกรรมการสันติภาพระหว่างประเทศ ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ยังประกาศว่า ถ้าหากทั้งสองฝ่ายตกลงตามข้อตกลง การหยุดยิงจะมีผลบังคับใช้ในฉนวนกาซาทันที และการฟื้นฟูดินแดนแห่งนี้อย่างครอบคลุมก็จะเริ่มขึ้นได้
บรรดาผู้สังเกตการณ์แสดงความเห็นว่า แผนการสันติภาพของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายเพื่อยุติการปะทะในฉนวนกาซา แต่อย่างไรก็ตาม นาย อัมจาด อิรัคกี ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอิสราเอลและปาเลสไตน์จาก International Crisis Group (ICG) ซึ่งเป็นองค์กร NGO ในด้านการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมกล่าวว่า เพื่อให้แผนการนี้ดำเนินการได้อย่างยั่งยืน ทุกฝ่ายจำเป็นต้องกำหนดบทบาทของทางการปาเลสไตน์ในมาตรการทางการเมืองในฉนวนกาซาอย่างชัดเจน ซึ่งสำหรับหน้าที่นี้ บทบาทของประเทศอาหรับในภูมิภาคมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศเหล่านี้สามารถโน้มน้าวให้ทางการสหรัฐมีวิธีการเข้าถึงที่สมดุลมากขึ้น แทนที่จะโน้มเอียงไปทางฝ่ายอิสราเอลที่ต้องการแยกทางการปาเลสไตน์ออกจากอนาคตของฉนวนกาซาโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้จะยังระมัดระวัง แต่ปฏิกิริยาแรก ๆ จากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสก็นำมาซึ่งความคาดหวังเกี่ยวกับ “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” เพื่อยุติการปะทะในฉนวนกาซา ในเฉพาะหน้า อิสราเอลได้ยอมรับแนวทางถอนกำลังเบื้องต้นในฉนวนกาซา และกลุ่มฮามาสก็เห็นพ้องในประเด็นสำคัญหลายประเด็น รวมถึงการปล่อยตัวประกัน เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ตัวแทนของอิสราเอลและกลุ่มฮามาสยังได้เข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับแผนการสันติภาพ 20 ข้อ ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ซึ่งเปิดโอกาสให้บรรลุความคืบหน้ามากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า.
Quang Dung