(VOVWORLD) - บนเขตภูดอยของจังหวัดท้ายเงวียน วัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ ยังคงได้รับการสืบสานต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ท่ามกลางชีวิตที่ทันสมัย ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแต่ทำนอง ท่ารำและดนตรีพื้นบ้านยังคงปรากฏในเทศกาลหรืองานสำคัญๆ ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เมื่อเร็วๆนี้ มีการเปิดตัวสโมสรวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยอนุรักษ์และเผยแพร่คุณค่าทางวัฒนธรรมอันดีงามให้คงอยุ่ต่อไป
สโมสร ซองโกตามท้าย |
ที่ตำบลด่งวี ทุกๆ สัปดาห์ สมาชิกสโมสร ซองโกตามท้าย จะมารวมตัวกันที่หอวัฒนธรรมเพื่อฝึกขับร้องเพลงทำนอง ซองโก ซึ่งเป็นเพลงพื้นเมืองของชนเผ่าซ้านหยิ่ว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายวัยกลางคนในชุดประจำเผ่าสีสันหลากหลายสวยงาม มานั่งล้อมวง ร้องโต้ตอบกันอย่างอบอุ่น นาง เอิว ถิ ฟ่าม และนางโด๋ ถิ เตวี๊ยด สมาชิกสโมสรฯ กล่าวว่า
“พวกเราได้ธำรงการขับร้องเพลงทำนองพื้นเมืองนี้มานานแล้ว สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือแม้อายุมากขึ้นก็ยังได้มาร่วมร้องเพลง”
“วัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยเผ่า ซ้านหยิ่ว อยู่ในใจของดิฉันเสมอ จึงรักเพลงทำนอง ซองโก ของชนเผ่ามาก ทุกครั้งที่ได้ขับร้อง ดิฉันก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก”
ศิลปิน เหยียบ มิง ต่าย ประธานสโมสร ซองโกตามท้าย |
เมื่อปี 2015 การขับร้องเพลงทำนอง ซองโก ของชนกลุ่มน้อยเผ่า ซ้านหยิ่ว ในอำเภอด่งวี ซึ่งปัจจุบันคือตำบลด่งวี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมนามธรรมแห่งชาติ นับแต่นั้นมา ขบวนการเข้าร่วมสโมสรก็ยิ่งคึกคักและแพร่หลายมากขึ้น นาย เหยียบ มิง ต่าย ประธานสโมสร ซองโกตามท้าย ซึ่งเป็นศิลปินที่ได้ทุ่มเทตลอดหลายปีในการแปลหนังสือโบราณ บันทึกบทเพลงและถ่ายบทเพลงต่าง ๆ ให้กับคนรุ่นใหม่ กล่าวว่า
“นี่คือสโมสร ซองโก แห่งแรกของอำเภอด่งวี ซึ่งตอนแรกมีเพียงคนในหมู่บ้านและในตำบลเข้าร่วม แล้วต่อมาสโมสรอื่น ๆ ก็มาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกัน จนเกิดเป็นกระแสและมีการแลกเปลี่ยนระหว่างตำบลกับตำบลและจังหวัดกับจังหวัด”
สมาชิกทุกคนของสโมสรฯ ถือเป็นส่วนหนึ่งพร้อมกับชาวบ้านและทางการปกครองท้องถิ่นพยายามฟื้นฟูกิจกรรมวัฒนธรรมแห่งชุมชนและอนุรักษ์เอกลักษณ์วัฒนธรรมที่กำลังจางหายไปของชนกลุ่มน้อยเผ่า ซ้านหยิ่ง นาย เลวันเตี๊ยน สมาชิกสโมสรฯ กล่าวว่า
“สโมสรฯ ของเรายังคงอนุรักษ์เอกลักษณ์วัฒนธรรมต่างๆ ของชนกลุ่มน้อยเผ่าซ้านหยิ่ว เช่น การร้องเพลงทำนอง ซองโก ในทุกที่ทุกเวลา แม้กระทั่งไปทำนาทำไร่หรือมีแขกมาเยี่ยม ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยเผ่าซ้านหยิ่วด้วย”
การเต้นรำ ตั๊กสิ่ง |
ก็เหมือนกับชนกลุ่มน้อยเผ่า ซ้านหยิ่ง ชนกลุ่มน้อยเผ่า ซ้านใจ ในตำบล โวแจง ก็กำลังพยายามอนุรักษ์การเต้นรำ ตั๊กสิ่ง ซึ่งได้รับการรับรองเป็นมรดกวัฒนธรรมนามธรรมแห่งชาติ
การเต้นรำ ตั๊กสิ่ง คือความภาคภูมิใจของชนกลุ่มน้อยเผ่า ซ้านใจ และกำลังได้รับการสืบสานจากรุ่นสู่รุ่น นาง เจิ่นถิบั๊ก สโมสรเต้นรำ ตั๊กสิ่ง ตำบล โวแจง กล่าวว่า
“ดิฉันรู้สึกภูมิใจมากที่เป็นชาวซ้านใจ และคิดว่าต้องพยายามอนุรักษ์ท่ารำ ตั๊กสิ่ง ให้ได้ ไม่ปล่อยให้สูญหายไป นี่เป็นมรดกวัฒนธรรมนามธรรมที่ต้องได้รับการสืบทอดต่อไป”
นาง เจิ่นถิบั๊ก สมาชิกสโมสรเต้นรำ ตั๊กสิ่ง ตำบล โวแจง |
ปัจจุบันนี้ สโมสรฯ มีสมาชิกกว่า 20 คนที่ฝึกเต้นรำร่วมกัน รวมทั้งไปแสดงและแลกเปลี่ยนกับสโมสรและท้องถิ่นอื่นๆ ความรักและความมุ่งมั่นตั้งใจอนุรักษ์ของทั้งชาวบ้านและทางการปกครองท้องถิ่นได้ช่วยให้การเต้นรำ ตั๊กสิ่ง กลายเป็นไฮไลท์ในขบวนการอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นเมืองของจังหวัดท้ายเงวียน
ส่วนที่หมู่บ้านเชิงนิเวศ ท้ายหาย ชนกลุ่มน้อยเผ่าไตที่นี่ก็ยังคงพยายามอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นเมือง โดยทุกๆ วัน เสียงเพลงทำนองแทนและพิณติ๊ง ยังคงดังขึ้นไปทั่วหมู่บ้าน
ที่หมู่บ้านท้ายหาย ในเทศกาลต่างๆ เช่น วันปีใหม่หรือตอนต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมหมู่บ้าน ศิลปินและสตรีชนกลุ่มน้อยเผ่าไตยังคงร้องเพลงทำนองแทน ดังนั้น การอนุรักษ์วัฒนธรรมในหมู่บ้านไม่ใช่แค่การอนุรักษ์บ้านยกพื้นโบราณและขนมธรรมเนียมประเพณีของชาวไตเท่านั้น หากยังเป็น “ห้องเรียนที่ไม่มีกระดานดำ” โดยคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้การเล่นพิณติ๊ง การร้องเพลงทำนองแทนและสวมใส่ชุดประจำเผ่าในการเข้าร่วมสโมสรเหล่านี้ นาง เลถิหั่ง ชาวไตในหมู่บ้านฯ กล่าวว่า
“ชาวบ้านมักจะถ่ายทอดวัฒนธรรมของชนเผ่าตนเองให้แก่คนรุ่นหลังเพื่อช่วยให้วัฒนธรรมพื้นเมืองของเราไม่สูญหายไป ตัวดิฉันเองก็ได้รับการสืบทอดจากปู่ย่าตายายและตอนนี้ก็พยายามถ่ายทอดให้ลูกหลานเช่นกัน”
สตรีชาวไตร้องเพลงทำนองแทน |
ตามข้อมูลสถิติ จังหวัดท้ายเงวียนมีมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้หลายร้อยรายการ สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายในชีวิตทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยเผ่าต่าง ๆ และสำหรับมรดกแต่ละรายการ ต่างได้รับการจัดตั้งสโมสรโดยทางการท้องถิ่นเพื่ออนุรักษ์ สืบทอดและสร้างบรรยากาศที่เอื้อให้ชาวบ้านเข้าร่วมเป็นอย่างมากและตอบสนองความต้องการทางจิตใจของประชาชน
สโมสรเล็ก ๆ เหล่านี้ได้ช่วยให้เสียงเพลง เสียงดนตรีพื้นเมืองและท่ารำต่างๆ ของชนกลุ่มน้อยในหมู่บ้านเหล่านี้ได้รับการสืบทอดต่อไปในยุคปัจจุบัน ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของชนเผ่าต่างๆ และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความยั่งยืนของวัฒนธรรมพื้นเมืองในจังหวัดท้ายเงวียน โดยได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีและได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันอีกด้วย.