พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ก๊ายฟานราง ที่ตำบล นิงเฟือก จังหวัดแค้งหว่า (VNA)

ในหลายวันที่ผ่านมา ได้มีการระดมกองกำลังต่างๆ เพื่อสนับสนุนการช่วยผู้ประสบภัยในพื้นที่และแก้ไขผลเสียหายทันทีหลังจากน้ำลด โดยได้ใช้งบประมาณส่วนกลางมากกว่า 2 ล้าน 4 แสนล้านด่งให้แก่จังหวัดยาลาย ดั๊กลั๊ก แค้งหว่าและเลิมด่ง

ปฏิบัติกลไกความช่วยเหลือพิเศษ
กรมการเมืองพรรคและคณะเลขาธิการกลางพรรคได้จัดตั้งคณะปฏิบัติงานนำโดยผู้นำระดับสูงของพรรคและรัฐลงพื้นที่โดยตรงเพื่อชี้นำ ตรวจสอบและเร่งรัดให้ทุกภาคส่วนแก้ไขผลเสียหายจากเหตุน้ำท่วมใน 4 จังหวัดภาคกลางตอนใต้ของเวียดนาม

กลไกความช่วยเหลือพิเศษในระดับประเทศได้รับการปฏิบัติทันทีโดยกรมการเมืองพรรคได้มอบหมายหน้าที่ให้ท้องถิ่นให้การช่วยเหลือในด้านอาหาร เครื่องอุปโภค เสื้อผ้า ยารักษาโรค และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้แก่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากอุทกภัย กรุงฮานอยให้การช่วยเหลือจังหวัดยาลาย นครโฮจิมินห์ช่วยเหลือจังหวัดแค้งหว่า นครไฮฟองช่วยเหลือจังหวัดดั๊กลั๊ก จังหวัดกว๋างนิงห์ให้การช่วยเหลือจังหวัด เลิมด่ง ซึ่งท้องถิ่นทั้ง 4 แห่งที่ได้รับมอบหมายนั้นล้วนเป็นท้องถิ่นที่แข็งแกร่งในด้านการเงินและสามารถจัดการและประสานงานได้อย่างรวดเร็วและเด็ดขาด และสามารถเห็นได้จากความเป็นจริงว่า ท้องถิ่นเหล่านี้ได้ลงมือให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ซึ่งนครโฮจิมินห์ได้ปฏิบัติกิจกรรมช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วนแก่จังหวัดแค้งหว่า มอบเงินบริจาค 5 หมื่นล้านด่งและจัดตั้งรถครัวสนามเพื่อเตรียมอาหารวันละ 12,000 ชุดมอบให้แก่ประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมและกองกำลังกู้ภัย นอกจากนี้ ยังได้ส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์กว่า 200 ตัน ซึ่งประกอบด้วย เสื้อชูชีพ ยาสามัญประจำบ้าน เสื้อผ้า ผ้าห่ม เป็นต้น ส่วนในด้านสาธารณสุข ก็ได้ส่งแพทย์ 30–50 คนลงพื้นที่ตรวจรักษาโรคและป้องกันโรคระบาดหลังเหตุน้ำท่วม นายแพทย์ ฝ่ามมิงกง สมาชิกของสมาคมแพทย์รุ่นใหม่ของนครโฮจิมินห์กล่าวว่า

“เราใช้เวลาเตรียมพร้อมทุกอย่างแค่ 2 ชั่วโมงแล้วก็รีบมาร่วมทีมเพื่อเดินทางไปยังท้องถิ่นที่ประสบอุทกภัยทันทีในช่วงค่ำคืน โดยหวังว่า จะสามารถแบ่งเบาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยและให้กำลังใจต่อพวกเขาด้วย”

เฉพาะในด้านสาธารณสุข นครไฮฟองได้ขนส่งคลอรามิน 2.5 ตันและยาเม็ดฆ่าเชื้อ 400,000 เม็ดไปยังจังหวัดดั๊กลั๊กและเตรียมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ประมาณ 300–500 คนที่พร้อมให้การสนับสนุนแก่ดั๊กลั๊กทุกที่ทุกเวลา

ขณะเดียวกัน จากเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ได้เป็นประธานการประชุมฉุกเฉินออนไลน์ 2 นัดเพื่อหารือกับกระทรวง หน่วยงานและท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อกำชับภารกิจการรับมือผลเสียหายจากภัยธรรมชาติ

"เลขาธิการพรรคพรรคสาขาและประธานคณะกรรมการประชาชนจังหวัดดั๊กลั๊ก แค้งหว่า ยาลายและเลิมด่งต้องเกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำสั่งชี้นำของทางการปกครองทุกระดับอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินงานในพื้นที่และหน่วยงานของตนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จับตาสถานการณ์อย่างรอบคอบ เร่งสร้างความมั่นคงให้ประชาชนและปรับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้เป็นปกติโดยเร็ว ฟื้นฟูการผลิตและการทำธุรกิจ เสนอกลไกและนโยบายต่าง ๆ เพื่อมีส่วนร่วมแก้ไขผลเสียหายจากภัยธรรมชาติโดยเร็วที่สุด”

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนตามเวลาฮานอย จากประเทศแอลจิเรีย นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ได้เป็นประธานการประชุมฉุกเฉินออนไลน์เพื่อกำชับภารกิจการรับมือผลเสียหายจากภัยธรรมชาติ (VNA)

การฟื้นฟูหลังอุทกภัย

ในหลายวันที่ผ่านมา พร้อมกับการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนจากทั้งสามภาคเวียดนามได้เรี่ยไรเงินบริจาคและสิ่งของบรรเทาทุกข์ต่างๆ เช่น อาหาร เสื้อผ้าและสิ่งของที่จำเป็นส่งให้ผู้ประสบภัยในภาคกลางตอนใต้

“เมื่อเห็นภาคกลางกำลังประสบเหตุน้ำท่วม ชาวบ้านไม่มีอาหารและน้ำดื่ม แต่เราก็ไม่สามารถไปช่วยเหลือโดยตรงได้ เราก็บริจาคแล้วผ่านแนวร่วมปิตุภูมิสาขานครโฮจิมินห์และสภากาชาดไปมอบให้แก่ชาวบ้านในภาคกลาง หวังว่า สิ่งเหล่านี้สามารถถึงมือผู้ประสบภัยโดยเร็วและสามารถช่วยพวกเขาแก้ไขความเดือดร้อนได้บ้าง”

การช่วยเหลือของทางการปกครองและประชาชนทั่วประเทศ ช่วยให้ผู้ประสบภัยในท้องถิ่นที่เกิดเหตุน้ำท่วมฟันฝ่าช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดไปได้ นาย โห่ถิฟีเอี๊ยน จากตำบลด่งซวน จังหวัดดั๊กลั๊ก กล่าวว่า

“ต้องขอบคุณทีมกู้ภัย ไม่เช่นนั้นก็คงตายไปแล้ว น้ำท่วมหมดทุกอย่าง ขอให้ผู้ที่ไปช่วยผู้ประสบภัยได้รับการชมเชยให้สมกับความเสียสละ พวกเขาได้ช่วยให้เรารอดตาย”

ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ชาวภาคกลางตอนใต้เริ่มต้นเส้นทางใหม่ คือ การฟื้นฟูหลังอุทกภัย โดยนับตั้งแต่วันนี้ สำนักงานต่างๆ ทั่วประเทศได้เปิดการเรี่ยไรเงินบริจาคอย่างเป็นทางการเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการซ่อมแซมบ้าน โรงเรียน สะพานและถนนหนทางต่างๆ และสร้างความมั่นคงในการเลี้ยงชีพของประชาชนหลังภัยพิบัติ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความแข็งแกร่งของเวียดนามไม่ได้อยู่ในตัวของแต่ละบุคคลหรือแต่ละท้องถิ่นเท่านั้น หากยังเกิดจากความสามารถในการยืนเคียงข้างกันในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดและร่วมกัน “เกิดใหม่” หลังอุทกภัย.