ความท้าทาย ต่อแผนการสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน
Quang Dung- VOV5 -  
(VOVWORLD) -มีความเป็นไปได้ที่การปะทะระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 4 ปีจะบรรลุจุดเปลี่ยนใหญ่ เมื่อทางการของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนสันติภาพ 28 ข้อเพื่อยุติการปะทะ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณ ที่แสดงให้เห็นว่า ฝ่ายต่างๆ ยังมีความขัดแย้งยากที่จะแก้ไขได้
แผนสันติภาพ 28 ข้อที่ทางการสหรัฐประกาศเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนเป็นแผนการที่ทูตพิเศษของสหรัฐและรัสเซียจัดทำ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแผนการสันติภาพ 20 ข้อเกี่ยวกับฉนวนกาซาที่สหรัฐประสบความสำเร็จในการส่งเสริมระยะแรกเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ความพยายามฟื้นฟูสันติภาพใหม่
แผนสันติภาพ 28 ข้อที่สหรัฐส่งถึงรัสเซียและยูเครนเน้นถึง 4 เสาหลัก ได้แก่ การส่งเสริมสันติภาพในยูเครน การค้ำประกันความมั่นคง เสริมสร้างความมั่นคงในยุโรปและกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียและยูเครนในอนาคต สำหรับรายละเอียดของแผนการดังกล่าว ยูเครนต้องยกดินแดนบางส่วนในเขตดอนบาส จังหวัดเคอร์ซอน ซาโปริซเซีย และคาบสมุทรไครเมียให้แก่รัสเซีย ให้คำมั่นที่จะไม่เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต จำกัดขนาดกองทัพยูเครนไม่ให้เกิน 600,000 นาย ส่วนสำหรับฝ่ายรัสเซีย ทรัพย์สินของรัสเซีย มูลค่าอย่างน้อย 1 แสนล้านดอลลารสหรัฐที่ถูกฝ่ายตะวันตกอายัดไว้ จะถูกโอนไปยังกองทุนที่สหรัฐดำเนินการเพื่อใช้ฟื้นฟูยูเครน
ซึ่งทางการยูเครนและบรรดาประเทศพันธมิตรในยุโรปได้คัดค้านแผนการดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า มีข้อกำหนดหลายข้อเอื้อประโยชน์ต่อรัสเซียมากเกินไป ด้วยการรณรงค์จากยุโรปและแรงกดดันจากภายในประเทศของสหรัฐ ทางการของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกกำหนดเส้นตายให้แก่ยูเครนคือวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยได้ทำการเจรจากับยูเครนและบรรดาประเทศยุโรป ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อปรับปรุงแผนการดังกล่าว นาง Jaroslava Barbieri นักวิจัยจากฟอรั่มยูเครนสังกัดสถาบัน Chatham House ของอังกฤษเผยว่า จากมุมมองของยูเครนและประเทศต่างๆในยุโรป แผนการ 28 ข้อนั้นยากที่จะยอมรับได้เนื่องจากเนื้อหาหลายข้อเกี่ยวข้องกับดินแดนของยูเครนและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของยุโรป
“แผนการดังกล่าวมีหลายประเด็นที่ยูเครนไม่สามารถยอมรับได้ เช่น การจำกัดขนาดกองทัพยูเครน โดยเฉพาะการยกดินแดนให้แก่รัสเซีย รวมทั้งดินแดนที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของรัสเซียในเขตดอนบาสปัจจุบัน”
ภายหลังการเจรจาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ณ เมืองเจนีวา บรรดานักการทูตอาวุโสของสหรัฐและยูเครนเผยว่า ได้บรรลุ“ความคืบหน้าที่สำคัญๆ” ส่วนสื่อตะวันตกได้รายงานว่า ได้ทำการแก้ไขหลายประเด็นที่สำคัญเมื่อเทียบกับแผนการเดิม โดยลดลงเหลือเพียง 19 ข้อ แม้ไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่ผู้นำยุโรปบางคนก็มองโลกในแง่ดีโดยประกาศว่า ผลประโยชน์และจุดยืนของยูเครนและยุโรปได้รับความสนใจมากขึ้น เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 36 ประเทศใน “พันธมิตรแห่งความเต็มใจ” ได้จัดการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับยูเครนเพื่อส่งเสริมและปกป้องข้อเสนอต่างๆของยุโรป นาย โยฮันน์ วาเดอฟูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนีเผยว่า รัสเซียกำลังมีความได้เปรียบ ส่วนประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง แสดงความระมัดระวังโดยเห็นว่า ยังมีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องได้รับการชี้แจงในแผนการดังกล่าว
เสียงพูดจากรัสเซีย
คำถามใหญ่ในปัจจุบันคือ ฝ่ายรัสเซียจะยอมรับการปรับปรุงของสหรัฐ ยูเครนและบรรดาประเทศยุโรปหรือไม่ โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน นาย Yuri Ushakov ผู้ช่วยประธานาธิบดีรัสเซียเกี่ยวกับนโยบายด้านการต่างประเทศได้ปฏิเสธข้อเสนอแก้ไขจากฝ่ายยุโรป โดยระบุว่าข้อเสนอเหล่านี้ “ไม่มีลักษณะเชิงสร้างสรรค์” และรัสเซียไม่สามารถยอมรับได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ได้ปฏิเสธการประเมินเกี่ยวกับผลการเจรจาระหว่างยูเครนกับฝ่ายตะวันตก ณ เมืองเจนีวาและเผยว่า รัสเซียจะพิจารณาอย่างรอบคอบต่อข้อเสนออย่างเป็นทางการจากสหรัฐ พร้อมทั้งย้ำว่า รัสเซียตั้งความหวังว่า ทุกแผนการต้องขึ้นอยู่กับฉันทมติที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้บรรลุในการประชุมสุดยอดเมื่อเดือนสิงหาคม ณ ประเทศสหรัฐ
จากสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาได้ในปัจจุบัน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งนาย สตีฟ วิตคอฟฟ์ ทูตพิเศษไปยังกรุงมอสโกเพื่อพบปะกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนสันติภาพฉบับใหม่ ในขณะเดียวกัน สื่อตะวันตกรายงานว่า นาย แดน ดริสคอลล์ รัฐมนตรีว่าการทบวงทหารบกสหรัฐได้มีการพบปะกับคณะผู้แทนรัสเซีย ณ กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อหารือเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพและผลักดันการเจรจาเพื่อยุติการปะทะในยูเครน บรรดาผู้สังเกตการณ์เห็นว่า แม้ว่าแผนการสันติภาพนี้เป็นความพยายามใหญ่ของสหรัฐ และในเบื้องต้นได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกฝ่าย แต่ความขัดแย้งใหญ่ระหว่างรัสเซีย ยูเครน และประเทศในยุโรปทำให้การบรรลุข้อตกลงไม่ใช่เรื่องง่าย นาย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเผยว่า แม้จะมีความหวังดีต่อการเจรจาที่เมืองเจนีวาเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน แต่ต้องยอมรับว่า ยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับท่าทีของรัสเซีย
“แน่นอนว่า รัสเซียมีสิทธิ์ต่อแผนการนี้เพราะตั้งแต่เริ่มแรก เราได้เรียนรู้ความคิดเห็นของรัสเซียผ่านช่องทางต่างๆ ดังนั้น แม้บรรลุผลงานใดๆในมืองเจนีวาแต่เราก็ต้องดูว่า สามารถบรรลุความเห็นพ้องกับยูเครนและรัสเซียหรือไม่ ซึ่งแผนการนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ”
อีกหนึ่งประเด็นใหญ่ที่สร้างความถกเถียงในการเจรจาต่างๆ ก่อนหน้านั้นคือ การกำหนดกลไกการเจรจาที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ โดยยูเครนและยุโรปยืนหยัดปกป้องจุดยืนที่ว่า ทุกการเจรจาต้องมีการเข้าร่วมของยูเครนและยุโรป ส่วนรัสเซียและสหรัฐให้ความสำคัญต่อการเจรจาทวิภาคีและปฏิเสธการเจรจาไตรภาคี โดยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ย้ำว่า จะจัดการประชุมสามฝ่ายกับผู้นำรัสเซียและยูเครนก็ต่อเมื่อแน่ใจว่าจะบรรลุข้อตกลงได้เท่านั้น ดังนั้น คาดว่าการเจรจาระยะต่อไประหว่างฝ่ายต่างๆเกี่ยวกับแผนการสันติภาพฉบับใหม่จะประสบอุปสรรคมากมาย.
Quang Dung- VOV5