ทุกประเทศต้องมีปฏิบัติการทันทีก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
สัปดาห์นี้ ประชามติโลกได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการประชุมว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศครั้งที่17ของสหประชาชาติหรือ COP17 ที่กำลังมีขึ้น ณ เมือง Durban ประเทศแอฟริกาใต้ด้วยความหวังว่า ที่ประชุมครั้งนี้จะสร้างก้าวกระโดดในการมุ่งสู่การลงนามข้อตกลงฉบับใหม่แทน พิธีสารเกียวโตระยะแรก แต่ความหวังนี้จะประสบความสำเร็จก็ต้องมาจากการลดช่องว่างในการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบที่มีต่อโลกของประเทศที่พัฒนาและกำลังพัฒนา

COP-17 มีขึ้นในระหว่างวันที่28พฤศจิกายน-9ธันวาคมโดยมีผู้แทนจากกว่า194ประเทศและอณาเขตที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญาโครงแห่งสหประชาชาติว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเข้าร่วมกว่า1หมื่น5พันคน เนื้อหาที่สำคัญของการประชุมคือจะพยายามขยายเวลาการปฏิบัติพิธีสารเกียวโตที่กำลังจะหมดอายุในปี2012 โดยจะเน้นหารือใน5ประเด็นหลักเกี่ยวกับแผนการปฏิบัติข้อตกลงต่างๆที่ได้บรรลุในการประชุมครั้งก่อน การร่างเอกสารที่มีผลบังคับทางนิตินัยแทนพิธีสารเกียวโตระยะที่1 กำหนดความรับผิดชอบด้านการเงินและหน้าที่ในการปรับลดอัตราการปล่อยก๊าซของประเทศที่พัฒนาและประเทศที่เพิ่งโดดเด่นที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซพิษสูง แสวงหาระเบียบการประสานมาตรการปฏิบัติต่างๆที่สอดคล้องกับสถานการณ์ทั่วโลก รักษาความเชื่อมโยงระหว่างข้อตกลงและผลประโยชน์ของทุกฝ่าย ในการนี้ ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ได้แสดงความหวังว่าCOP-17จะช่วยผลักดันการปฏิบัติคำมั่นต่างๆที่ได้บรรลุในCOP-16 รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนสิ่งแวดล้อมสีเขียวและพันธกรณีจากประเทศที่พัฒนาแล้วในการสบทบเงินเข้ากองทุนนี้และการปรับลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามคำมั่น.
ทั้งนี้ผลการประชุมจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดเดาได้เพราะCOP-17ได้มีขึ้นในสภาวการณ์ที่เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซาและเต็มไปด้วยความผันผวนจากวิกฤตหนี้สาธารณะของประเทศใหญ่ๆเช่นสหรัฐและประเทศต่างๆในยุโรปในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศที่เพิ่งโดดเด่นมีการฟื้นตัวอย่างล่าช้า ซึ่งอาจจะทำให้การปฏิบัติพันธกรณีต่างๆว่าด้วยการแก้ไขปัญหาความเปลี่ยนแปลงจากสภาพภูมิอากาศนั้นยากที่จะประสบผลดั่งที่คาดหวังโดยเฉพาะปัญหาที่ถือว่ายากที่สุดในขณะนี้คือช่องว่างระหว่างประเทศต่างๆเกี่ยวกับเป้าหมายและมาตรการปรับลดปริมาณก๊าซคาร์บอนเพื่อให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกต่ำกว่า2องศา นอกจากนั้นก็มีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาที่สะท้อนให้เห็นในการหารือในวันแรกของการประชุม โดยนายโจนาทาน เปอร์ซิงหัวหน้าคณะเจรจาด้านสิ่งแวดล้อมของสหรัฐได้ยืนยันว่าจากนี้ถึงปี2020 ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลกจะไม่สามารถบรรลุความตกลงใหม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอนและกระบวนการปฏิบัติเพื่อโลกที่มีระบบสิ่งแวดล้อมปลอดภัยอาจจะยังเดินตามรอยเดิมและตกเข้าสู่ภาวะชงักงันได้เมื่อประเทศสมาชิกของพิธีสารเกียวโตส่วนใหญ่ไม่อยากอนุมัติระยะที่2ของพิธีสารนี้และเศรษฐกิจที่เพิ่งโดดเด่นที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซสูงอย่างจีน อินเดียและบราซิลกลับยืนกรานว่าจะไม่เข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว ส่วนฝ่ายยุโรปก็ประกาศจะลงนามเข้าร่วมระยะสองถ้าหากจีนและสหรัฐเข้าร่วมด้วยเท่านั้น
จนถึงขณะนี้ สหประชาชาติได้จัดการประชุมหลายครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศแต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญได้ในขณะที่สถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนับวันมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาโลกร้อนที่กำลังส่งผลกระทบต่อทวีปต่างๆ ต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์รวมไปถึงชั้นโอโซนที่ปกป้องโลกของเราด้วย ดังนั้นก่อนที่การประชุมCOP-17จะมีขึ้น บรรดาผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติก็ได้มีความเห็นว่า โลกยากที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้คือควบคุมให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน2องศาในปี2020 ทั้งนี้กระบวนการป้องกันโลกร้อนนั้นต้องการความพยายาม ความร่วมมือและการร่วมใจปฏิบัติรวมไปถึงความเสียสละผลประโยชน์ของแต่ละประเทศโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป./.
Doan Trung-VOV5