ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว ประชาชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว

(VOVWORLD) -ส่วนกระจายเสียงภาษาต่างประเทศ (VOV5)ขอคัดเสนอบทความของเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม โตเลิม ในหัวเรื่อง “ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว ประชาชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว”  

เสี้ยวนาทีที่ธงสัญลักษณ์ของกองทัพปลดปล่อยได้โบกสะบัดเหนือดาดฟ้าทำเนียบเอกราช (Dinh Độc Lập) เมื่อวันที่ 30 เมษายน ปี1975 นั้นได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติให้เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่-เป็นวันที่ภาคใต้ได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ ประเทศรวมเป็นเอกภาพ ผืนแผ่นดินเวียดนามรวมเป็นปึกแผ่น นี่ไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนเวียดนามในขบวนการต่อสู้กู้ชาติที่แสนยากลำบากเท่านั้น หากยังเป็นสัญลักษณ์ที่แจ่มจรัสของลัทธิวีรภาพแห่งการปฏิวัติ ของความมุ่งมั่นในเอกราช การพึ่งตนเองและพลังแห่งมหาสามัคคีชนทั้งชาติ

ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว ประชาชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว - ảnh 1

โตเลิม – เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ความคาดหวังที่ประเทศเวียดนามมีสันติภาพ มีเอกภาพและอิสระเสรี คือเปลวไฟอันศักดิ์สิทธิ์ที่หล่อเลี้ยงจิตใจของประชาชาติในตลอดหลายพันปีแห่งประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่บรรพกษัตริย์หุ่งเวืองได้สร้างชาติจนถึงปัจจุบันนี้ ผ่านช่วงเวลาการต่อต้านผู้รุกรานต่างชาติครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อพิทักษ์รักษาชาติบ้านเมือง ปกป้องผืนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ จิตใจแห่งความรักชาติ ปกป้องประชาชาติดุดดั่งเส้นใยสีแดงที่เชื่อมต่อระยะต่างๆ แห่งประวัติศาสตร์ ภายใต้การนำของพรรคและลุงโฮ ความคาดหวังอันแรงกล้านั้นเป็นพลังทางจิตวิญญาณที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้ ช่วยปลุกเร้าให้คนทุกชนชั้นรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีเพื่อฟันฝ่าอุปสรรค ความยากลำบากและความท้าทายทุกประการ เพื่อช่วงชิงเอกราชกลับคืนมาในปี 1945 ขับไล่กองทัพอาณานิคมในปี 1954 และรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวในปี 1975

ชัยชนะของประชาชาติที่หาญกล้า

ชัยชนะวันที่ 30 เมษายน ปี1975 ไม่เพียงแต่เป็นจุดสิ้นสุดของสงครามกู้ชาติที่ยาวนานและดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์เวียดนามยุคใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นนิมิตหมายทองที่แจ่มจรัสในกระบวนการสร้างสรรค์และปกป้องประเทศของประชาชาติเวียดนามอีกด้วย นี่คือชัยชนะของความเชื่อมั่น ของความปรารถนาในเอกราช เสรีภาพและประเทศได้รวมเป็นหนึ่งเดียว เป็นชัยชนะของพลังที่แข็งแกร่งแห่งความสามัคคีชนทั้งชาติภายใต้การนำที่ปรีชาสามารถของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เป็นชัยชนะของความจริงที่ว่า "ไม่มีสิ่งใดมีค่าเหนือกว่าเอกราชและเสรีภาพ" และจิตใจความรักชาติที่เต็มเปี่ยม ความมุ่งมั่น ความทรหดกล้าหาญในการต่อสู้อย่างไม่เคยย่อท้อของประชาชนเวียดนาม ของกองกำลังหัวก้าวหน้าและผู้ที่ใฝ่สันติภาพในทั่วโลก

ชัยชนะวันที่ 30 เมษายน ปี 1975 เป็นผลจากจิตใจที่แน่วแน่ของประชาชาติเวียดนามที่มุ่งสู่เป้าหมายรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว ไม่ถูกแบ่งแยกโดยอิทธิพลของพรรคฝ่ายใด ดั่งคำยืนยันของประธานโฮจิมินห์ ผู้นำที่ปรีชาสามารถของประชาชาติเวียดนามที่ว่า “ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว ประชาชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว แม่น้ำอาจเหือดแห้ง ภูเขาอาจถูกกัดกร่อน แต่ความจริงนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลง” ซึ่งคำพูดของท่านไม่เพียงแต่กลายเป็นปฏิญญาอันศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนเท่านั้น หากเป็นดุดดั่งเป็นเปลวเพลิงส่องทาง สร้างขวัญกำลังใจและพลังที่เข้มแข็งให้แก่คนเวียดนามทุกรุ่นในระยะเวลาแห่งการต่อสู้กู้ชาติที่ยากเย็นแสนเข็ญและดุเดือด ทำให้ชัยชนะวันที่ 30 เมษายน ปี 1975 กลายเป็นตัวอย่างแห่งปรัชญา "ไม่มีสิ่งใดล้ำค่าไปกว่าเอกราชและเสรีภาพ" ในยุคนั้น  

ชัยชนะวันที่ 30 เมษายน ปี1975 เป็นชัยชนะของการทหาร การรวบรวมสติปัญญา ความกล้าหาญ และความคาดหวังอย่างแรงกล้าในสันติภาพที่ยั่งยืน ในสิทธิกำหนดอนาคตของตัวเองของประชาชาติที่เคยถูกยึดครอง ถูกแบ่งแยก และถูกกดขี่มาอย่างยาวนาน  ดั่งที่ท่านเลขาธิการใหญ่พรรค เล หยวน เคยกล่าวว่า "ชัยชนะนั้นไม่ได้เป็นของเฉพาะบุคคลใด  แต่เป็นของประชาชนเวียดนามทั้งมวล" ส่วนกวี โต๊หิว ก็เคยเขียนไว้ว่า "ไม่มีความเจ็บปวดใดที่เป็นของใครเพียงผู้เดียว/ชัยชนะนี้เป็นของมวลมนุษยชาติ"

มหาชัยชนะฤดูใบไม้ผลิปี1975 ยังได้สร้างนิมิตหมายที่ลึกซึ้งบนเวทีนานาชาติ ด้วยการจุดประกายสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ขบวนการเคลื่อนไหวปลดปล่อยประชาชาติอื่นๆในหลายภูมิภาคในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา  สร้างขวัญกำลังใจเพื่อเร่งเร้าให้ประชาชาติต่างๆลุกขึ้นต่อต้านลัทธิอาณานิคมใหม่เพื่อช่วงชิงอิสรภาพกลับคืนมา นี่คือชัยชนะของความเป็นธรรมเหนือความอยุติธรรมของมหอำนาจในโลก เป็นการยืนยันต่อประชาคมทั่วโลกว่า แม้จะเป็นประชาชาติเล็ก ๆ แต่หากต่อสู้ด้วยความเป็นธรรม ความสามัคคี และความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ พร้อมการสนับสนุนและความช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์จากมิตรประเทศ จากกองกำลังที่ก้าวหน้าและผู้ที่รักสันติภาพในทั่วโลก ก็ย่อมที่จะสามารถเอาชนะอิทธิพลที่แข็งแกร่งกว่าหลายเท่าได้อย่างแน่นอน

ความมุ่งมั่นและความปรารถนาในการรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น

ในตลอดช่วงเวลาแห่งการทำสงครามต่อต้านการยึดครองของกองกำลังล่าอาณานิคมและจักรวรรดินิยมที่ยาวนานถึง 30 ปี (1945-1975) ประชาชนชาวเวียดนามต้องเผชิญกับความยากลำบาก การเสียสละ และความสูญเสียนับไม่ถ้วน แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ทำให้ความมุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศเวียดนามได้รับเอกราชและแผ่นดินเวียดนามรวมเป็นหนึ่งเดียวนั้นถูกสั่นคลอน.

ในคำเรียกร้องที่ประธานโฮจิมินห์ได้กล่าวในโอกาสวันชาติ 2 กันยายน ปี1955  ท่านก็ยืนยันว่า "ประเทศเวียดนามจะได้รวมกันเป็นหนึ่งแน่นอน เพราะประเทศของเราเป็นปึกแผ่นเดียวกันที่ไม่มีใครสามารถแบ่งแยกได้" ส่วนในจดหมายที่ส่งถึงประชาชนทั่วประเทศเมื่อปี 1956 ประธานโฮจิมินห์ได้เขียนไว้ว่า “การรวมชาติเป็นหนทางแห่งชีวิตของประชาชนเรา” และในช่วงที่สงครามอยู่ในช่วงที่ดุเดือดและรุนแรงที่สุด วันที่ 17 กรกฎาคมปี 1966 ท่านได้ออกประกาศอย่างหนักแน่นว่า “สงครามอาจยืดเยื้อยาวนานถึง 5 ปี 10 ปี 20 ปี หรืออาจจะนานกว่านั้น  ฮานอย ไฮฟองรวมทั้งตัวเมืองกับโรงงานหลายแห่งอาจถูกทำลาย แต่ชาวเวียดนามทั้งปวงจะไม่หวาดกลัว! ไม่มีสิ่งใดมีค่าเหนือกว่าเอกราชและเสรีภาพ เมื่อถึงวันแห่งชัยชนะ   เราจะสร้างสรรค์ประเทศเราใหม่ให้เจริญสวยงามยิ่งขึ้น” และคำพูดดังกล่าวก็กลายเป็นความจริงภายใต้การนำของพรรคและประธานโฮจิมินห์พร้อมความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในพลังแห่งความเป็นธรรมและจิตใจแห่งเอกราชของชาติ กองทัพและประชาชนเวียดนามสามารถฝ่าฟันอุปสรรค์และความยากลำบากนานัปการเพื่อต่อต้านทำลายทุกยุทธศาสตร์แห่งสงครามสมัยใหม่

คำประกาศของประธานโฮจิมินห์ที่ว่า “ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว ประชาชนเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว” ไม่เพียงแค่เป็นแนวทฤษฏี เป็นแนวทางเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นคำสั่งจากหัวใจของคนทั้งชาติอีกด้วย ซึ่งท่ามกลางความดุเดือดของสงคราม คำพูดดังกล่าวได้กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สร้างแรงบันดาลใจอันเข้มแข็ง ปลูกเร้าจิตใจให้ชาวเวียดนามหลายล้านคนมุ่งหน้าสู่สมรภูมิด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ "พร้อมสละชีพเพื่อปิตุภูมิ" ซึ่งคำประกาศของลุงโฮเปรียบเป็นคำเรียกร้องอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นที่จะฝ่าฟันความเจ็บปวดและความยากลำบากทั้งปวง เพื่อเอกราชและเสรีภาพของประชาชาติ เพื่อการรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวและเพื่อความอิ่มหนำผาสุกของประชาชน

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีแห่งการต่อสู้กู้ชาติและสร้างชาติ มีกุลบุตรดีเด่นของประเทศนับล้านคนได้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญและเสียสละชีวิต มีครอบครัวจำนวนมากสูญเสียคนที่รัก หมู่บ้านและตัวเมืองถูกทำลาย  เยาวชนหลายรุ่นต้องละทิ้งความฝันในการศึกษาและอนาคตเพื่อออกเดินทางไปร่วมภารกิจปกป้องปิตุภูมิด้วยคำสาบาน  "เราจะไม่กลับบ้านเกิดจนกว่าศัตรูจะถูกขับไล่ออกไปให้หมด" แม่ส่งลูก ภรรยาส่งสามีไปโดยไม่นัดวันกลับ เด็กๆเติบโตท่ามกลางเสียงปืนเสียงระเบิด เรียนหนังสือในห้องใต้ดินและกินข้าวโพด กินมันสำปะหลังแทนข้าวสวย และยังมีเยาวชนอาสาและกองกำลังสนับสนุนแนวหน้าจำนวนมากได้เสียสละบนผืนแผ่นดินรูปตัว S ของปิตุภูมิ หน่วยสายลับที่ปฏิบัติหน้าที่ในใจกลางพื้นที่ของศัตรู กองกำลังทหารจรยุทธ์และทหารกองโจรตามหมู่บ้านชนบทไปจนถึงทหารกองทัพปลดปล่อยที่ข้ามแม่น้ำเบ๊นหายและเทือกเขาเจื่องเซิน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ประชาชาติเวียดนามจะสามารถช่วงชิงสิทธิการเป็นเจ้าของประเทศกลับคืนมาได้และภาคเหนือกับภาคใต้จะได้รวมกันเป็นปึกแผ่นเดียวกันอย่างแน่นอน

ครึ่งศตวรรษผ่านพ้นไปนับตั้งแต่ประเทศได้รวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เสียงเพลงแห่งชัยชนะในวันนั้นยังคงก้องกังวาลในจิตวิญญาณของชาวเวียดนาม เนื่องในโอกาสสำคัญครั้งนี้ เราขอรำลึกถึงประธานโฮจิมินห์ผู้เป็นที่รักยิ่งของชาติ ผู้นำที่ปรีชาสามารถของพรรคและประชาชนของเรา ครูผู้ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติเวียดนาม วีรบุรุษแห่งการปลดปล่อยชาติ นักวัฒนธรรมผู้มีชื่อเสียงของโลก นายทหารผู้โดดเด่นของขบวนการคอมมิวนิสต์สากล ผู้วางรากฐานทางอุดมการณ์ให้แก่ภาริจการปลดปล่อยชาติและการรวมชาติ เรายกย่องเชิดชูและรำลึกถึงผู้นำรุ่นก่อนของพรรค วีรบุรุษผู้สละชีพ ปัญญาชน พี่น้องร่วมชาติและทหารทั่วประเทศที่ได้ต่อสู้และเสียสละอย่างกล้าหาญเพื่ออุดมคติอันสูงส่งดังกล่าว คนเวียดนามรุ่นปัจจุบันและอนาคตจะจดจำคุณความดีและการเสียสละอันยิ่งใหญ่เพื่อเอกราชของปิตุภูมิ เพื่อความอิ่มหนำผาสุกของประชาชน ความเจริญรุ่งเรืองที่ยืนยาวและการพัฒนาของชาติตลอดกาล

เราขอแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อมิตรสหายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังที่ก้าวหน้า ประเทศสังคมนิยมพี่น้อง องค์กรด้านมนุษยธรรม และผู้ที่รักสันติทั่วโลก ซึ่งได้ช่วยเหลือและสนับสนุนเวียดนามตลอดระยะเวลาแห่งการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประชาชาติ ไปจนถึงช่วงแห่งการฟื้นฟูพัฒนาประเทศหลังสงคราม ประชาชนเวียดนามทั้งปวงจะจดจำและทะนุถนอมความรักและการสนับสนุนที่บริสุทธิ์จริงใจนั้นตลอดไป

ครึ่งศตวรรษแห่งการฟื้นฟู การสมานบาดแผลและการพัฒนา

ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ประชาชาติเวียดนามต้องผ่านช่วงประวัติศาสตร์ที่ปวดร้าวเศร้าโศก ต้องทนทุกข์ทรมานและความสูญเสียยิ่งใหญ่ภายใต้แอกปกครองและการกดขี่จากระบอบศักดินาและอาณานิคม โดยเฉพาะสงครามอันโหดร้าย 2 ครั้งที่ยืดเยื้อนานกว่า 3 ทศวรรษ ซึ่งไม่เพียงแต่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายล้านคนเท่านั้น แต่ยังทิ้งผลกระทบทั้งทางกายภาพ ทางจิตใจ ทางเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายอย่างกว้างลึกถึงคนรุ่นต่อๆมาที่ได้เกิดและเติบโตหลังสงคราม ไม่มีพื้นที่ใดในประเทศเวียดนามที่ปราศจากความเจ็บปวด ไม่มีครอบครัวใดที่ไม่เคยทนทุกข์จากความสูญเสียและการเสียสละ และจนถึงขณะนี้เรายังต้องพยายามแก้ไขผลร้ายจากสงครามจากกับระเบิด จากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซินที่ยังหลงเหลืออยู่

แต่ทั้งนี้ เวลา ความเมตตรอารีและการให้อภัยคือปัจจัยที่ช่วยให้ประชาชาติเราฝ่าฟันทุกความเจ็บปวด รักษาบาดแผล ปิดฉากอดีต เคารพความแตกต่างเพื่อก้าวไปสู่อนาคต ภายหลัง 50 ปีการรวมประเทศเป็นปึกแผ่น ประเทศเราได้มีความมั่นใจในศักยภาพ มีความภาคภูมิใจและเปิดใจเพื่อมองไปข้างหน้าด้วยกัน ให้สงครามในอดีตไม่กลายเป็นสิ่งกีดขวางผู้คนที่มีสายเลือดหลากห่งเดียวกันอีกต่อไป

บนเส้นทางการพัฒนานั้น พรรคและรัฐได้กำหนดนโยบายแห่งการปรองดองชาติเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว เป็นเสาหลักในกลุ่มมหาสามัคคีชนทั้งชาติ  เราเข้าใจในสาเหตุเชิงประวัติศาสตร์ของสงคราม - การแทรกแซงแบ่งแยกจากภายนอก ไปจนถึงการวางแผนบ่อนทำลายความสามัคคีชนในชาติ การปลูกฝังความเกลียดชังเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เราก็เข้าใจดีว่า ชาวเวียดนามทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือต่างประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งใดในประวัติศาสตร์ก็ล้วนมีต้นกำเนิดเดียวกัน มีภาษาเดียวกัน และมีความรักต่อบ้านเกิดและประเทศชาติเหมือนกัน

ในหลายปีที่ผ่านมา ในระหว่างการเดินทางเยือนประเทศต่างๆในเกือบทุกทวีป ผมได้มีโอกาสพบปะกับชาวเวียดนามที่อาศัยในประเทศเหล่านี้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญญาชนรุ่นใหม่ที่ทำงานในยุโรป อเมริกา เอเชีย โอเชียเนีย ไปจนถึงนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ศิลปินชื่อดัง คนงานธรรมดารวมถึงผู้คนจำนวนมากที่ในอดีตเคยอยู่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งการพบปะแต่ละครั้งต่างสร้างความประทับใจอันลึกซึ้งให้กับผม แม้ว่าจะมีความแตกต่างในทัศนะทางการเมือง ประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ หรือสภาพความเป็นอยู่ แต่พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีความภาคภูมิใจในชาติ ล้วนเป็น"พลเมืองเวียดนาม" และยังคิดถึง "บ้านเกิด" อย่างเต็มเปี่ยม ผมก็เคยเห็นการพบปะระหว่างทหารผ่านศึกเวียดนามกับทหารผ่านศึกสหรัฐหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาเคยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันเคยถือปืนต่อสู้กัน แต่ตอนนี้สามารถจับมือพูดคุยและแบ่งปันกันด้วยความเข้าใจอย่างจริงใจ ปัจจุบัน เวียดนามและสหรัฐจากที่เคยเป็นศัตรูกันในอดีตได้กลายเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ร่วมมือกันเพื่อสันติภาพ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ เพื่อความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาค ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่คนเวียดนามซึ่งมีสายเลือดเดียวกัน มีมารดาเดียวกันกับคือเจ้าแม่ Au Co และมีความคาดหวังให้ประเทศมีเอกภาพและเจริญรุ่งเรืองจะยังคงเก็บความโกรธแค้นและความแบ่งแยกไว้ในใจต่อไป เราเชื่อว่าชาวเวียดนามทุกคนไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหนหรือมีอดีตเป็นอย่างไรก็สามารถร่วมมือกันและมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับประเทศชาติได้ เราไม่สามารถแก้ไขประวัติศาสตร์ได้ แต่เราสามารถสร้างอนาคตใหม่ได้ อดีตมีไว้ให้จดจำ ให้สำนึกและถอดบทเรียน ส่วนอนาคตคือการสร้างสรรค์และพัฒนาไปด้วยกัน

เมื่อ 50 ปีก่อน ประชาชาติเวียดนามได้เขียนบทมหากาพย์ที่แจ่มจรัสด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวและความหาญกล้า ความสามัคคีและความมุ่งมั่นในสันติภาพและความเป็นเอกภาพ ครึ่งศตวรรษต่อมา ประชาชาตินั้นก็ยังคงเขียนบทมหากาพย์เรื่องใหม่ ซึ่งเป็นบทเพลงผสานเสียงของนวัตกรรม ของการผสมผสาน การพัฒนาและความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะก้าวรุดหน้าไปในศตวรรษที่ 21

มองไปข้างหน้า สานต่อและสร้างสรรค์ เปลี่ยนแปลงใหม่และพัฒนา

ยิ่งกว่าใครๆ คนรุ่นปัจจุบันต้องเข้าใจดีว่าเอกราชและเอกภาพของชาติไม่ใช่จุดมุ่งหมายสุดท้าย หากเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการใหม่ นั่นคือกระบวนการสร้างสรรค์ประเทศเวียดนามที่สันติ เจริญรุ่งเรือง มีอารยธรรมและพัฒนายั่งยืนมั่นคง หากคนรุ่นก่อนได้สลักอุดมการณ์ที่ว่า “ประเทศเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว ประชาชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียว” ด้วยการเสียสละและความสูญเสียมากมายแล้ว คนรุ่นปัจจุบันก็ต้องแปรอุดมการณ์นั้นให้เป็นพลังขับเคลื่อนของการพัฒนาก้าวรุดหน้าไปสู่ยุคใหม่

จิตใจแห่งการรวมประเทศเป็นเอกภาพ ซึ่งเคยเป็นความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อให้เราฝ่าฟันความยากลำบาก ความท้าทาย ฝ่าห่ากระสุนระเบิดนั้นมาถึงปัจจุบันจะต้องกลายเป็นความมุ่งมั่นทางการเมือง ความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและเป็นปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมเพื่อปกป้องเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน พัฒนาเศรษฐกิจและยกระดับชีวิตทางวัตถุและจิตใจของประชาชน  ต้องทำให้ชาวเวียดนามทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรก็ตาม ต่างต้องมีความภาคภูมิใจต่อประเทศของตน มีความมั่นใจในอนาคต และมีโอกาสเพื่อมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาของประเทศ

ในเมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่สามารถคาดเดาได้ เวียดนามจำเป็นต้องมีความมั่นคงและตื่นตัวเพื่อไม่ให้ติดอยู่ในวังวนทางภูมิรัฐศาสตร์หรือตกอยู่ในสภาวะที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทุกจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์โลกอาจกลายเป็นโอกาสหรือความท้าทายสำหรับประเทศเล็กๆ หากประเทศเหล่านั้นจะมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดีหรือยังไม่พร้อมรับมือด้วยพลังภายใน ประชาชาติเวียดนามเป็นผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงผลร้ายของสงคราม เรารักสันติภาพและไม่ต้องการให้เกิดสงคราม และเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามเกิดขึ้น แต่หาก “ศัตรูบังคับให้เราต้องถือปืน” เราก็ยังคงเป็นผู้ชนะ ดังนั้น ยิ่งกว่าเวลาใด เราจำเป็นต้องสร้างสรรค์เศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง พึ่งตนเอง มีระบบการป้องกันประเทศและความมั่นคงแห่งชาติที่ทันสมัยและครอบคลุมในหมู่ประชาชนทุกภาคส่วน มีระบบการเมืองที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีสังคมที่พัฒนาและสามัคคี มีวัฒนธรรมและมีความเป็นมนุษย์

เพื่อที่จะทำตามแนวทางนั้น จำเป็นต้องส่งเสริมสติปัญญาและพลังความเข้มแข็งของคนทั้งชาติรวมถึงชุมชนชาวเวียดนามโพ้นทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกลุ่มมหาสามัคคีชนทั้งชาติ และในยุคดิจิทัล ยุคแห่งการเชื่อมต่อทั่วโลก คนเวียดนามในทั้ง 5 ทวีปสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้วยความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ ความรักชาติ และความรับผิดชอบต่อสังคมของตนเอง

ยุคใหม่ที่เรากำลังมุ่งถึงด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น จำต้องใช้แนวคิดใหม่ รูปแบบการพัฒนาใหม่ และบุคลากรใหม่ ในเฉพาะหน้า เรายังต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมายทั้งในด้านระเบียบนโยบาย ผลิตภาพแรงงาน คุณภาพแหล่งบุคลากร ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม โรคระบาด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งความเสี่ยงด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ แต่ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าประชาชาติเวียดนามไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบากและความท้าทายใดๆ หากคำถามที่ตั้งไว้นั่นคือ เรากล้าที่จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ขั้นสูงใหม่และมีความสามัคคีมากพอเพื่อแปรอุปสรรคให้เป็นแรงจูงใจในการพัฒนาได้หรือไม่

เราไม่อาจปล่อยให้ประเทศเดินถอยหลัง ไม่อาจปล่อยให้ประเทศพลาดโอกาสไปได้และไม่สามารถทำให้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์เกิดขึ้นซ้ำอีก  ดังนั้น ผลประโยชน์ประเทศของประชาชาติต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องปฏิบัติเพื่ออนาคตที่ยาวไกลมิใช่เพื่อผลประโยชน์ในระยะสั้น จะต้องยืนหยัดรักษาเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน  รักษาสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพและสันติ ในเวลาเดียวกันจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่เข้มแข็งในแนวคิดแห่งการพัฒนา การปฏิรูปการบริหารราชการ การสร้างสรรค์นิติรัฐ สังคมนิยม เศรษฐกิจตลาดตามแนวทางสังคมนิยม โดยมีการบริหารจัดการของรัฐ ภายใต้การนำของพรรค และการสร้างสรรค์สังคมตามแนวทางสังคมนิยมที่ทันสมัย

เมื่อมองไปข้างหน้า เราสามารถภาคภูมิใจและเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งภายในของประชาชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นชาติที่สามารถรบชนะผู้รุกรานต่างชาติมาหลายครั้งและฟื้นคืนชีพจากสงครามเพื่อยืนหยัดบทบาทสถานะของตนต่อประวัติศาสตร์และต่อคนทั้งโลก ด้วยเกียรติประวัติแห่งการสร้างสรรค์และปกป้องชาติบ้านเมืองมายาวนานนับพันปี ด้วยความคาดหวังที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ มีความใฝ่ฝัน มีใจรักชาติ มีความคิดสร้างสรรค์และพลังอันแข็งแกร่ง เวียดนามจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ศตวรรษที่ 21 เป็นศตวรรษของชาติที่รู้จักการกำหนดอนาคตของตนเอง และประชาชาติเวียดนามด้วยบทเรียนจากอดีต ด้วยความสามัคคีในปัจจุบันจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมบนเส้นทางการพัฒนาต่อไป  เพื่อประเทศเวียดนามที่เอกราช อิสระเสรี ผาสุก เจริญรุ่งเรือง และมีอารยธรรม มีสถานะและเสียงพูดที่สำคัญในประชาคมโลก.

โตเลิม – เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด