(VOVWORLD) -เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม บรรดาผู้นำอังกฤษและสหภาพยุโรปหรืออียูได้ลงนามข้อตกลงด้านกลาโหม ความมั่นคง พลังงานและอาหาร ซึ่งช่วยกำหนดกรอบความสัมพันธ์ใหม่ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นหลังจากที่ชะงักงันเนื่องจากปัญหา Brexit และในสภาวการณ์ที่ยุโรปต้องเผชิญกับความท้าทายใหญ่ๆ ด้านภูมิรัฐศาสตร์
ข้อตกลงต่างๆ ระหว่างอียูกับอังกฤษได้รับการลงนามในกรอบการประชุมสุดยอดอังกฤษ-อียู ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นี่เป็นการประชุมใหญ่ครั้งแรกระหว่างสองฝ่ายที่ถูกจัดขึ้น ณ ประเทศอังกฤษนับตั้งแต่ที่อังกฤษถอนตัวออกจากอียูหรือ Brexit เมื่อปี 2016
หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับอียู
ตามข้อมูลที่ผู้นำอียูและอังกฤษประกาศ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องลงนามข้อตกลงด้านกลาโหม ความมั่นคง อาหารและพลังงาน 3 ฉบับ โดยนาย เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ยืนยันว่า ข้อตกลง 3 ฉบับนี้นำผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่มาให้แก่อังกฤษ สำหรับด้านเศรษฐกิจ ข้อตกลงฉบับใหม่จะช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าของอังกฤษไปยังอียู โดยมูลค่าการส่งออกจากอังกฤษไปยังอียูได้ลดลงร้อยละ 21 ในช่วงหลัง Brexit และคาดว่า จะสร้างมูลค่าการส่งออก ประมาณ 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่อังกฤษในการกล่าวปราศรัยต่อรัฐสภาอังกฤษเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรี เคียร์ สตาร์เมอร์ ได้ย้ำว่า การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงต่างๆ ระหว่างอังกฤษกับอียูยึดหลักใน 3 มาตรฐานได้แก่ การลดรายจ่ายให้แก่ชาวอังกฤษ การเพิ่มงานทำ และผลักดันการรักษาความมั่นคงในเขตชายแดนของอังกฤษซึ่งข้อตกลงใหม่เหล่านี้ก็สามารถตอบสนองได้ พร้อมทั้งเห็นว่า ข้อตกลงใหม่ที่อังกฤษลงนามกับอียูกับอินเดียและสหรัฐในเวลาที่ผ่านมาได้ช่วยฟื้นฟูสถานะของอังกฤษบนเวทีโลก
ข้อถกเถียงที่สร้างความสนใจที่เกี่ยวข้องถึงข้อตกลงเรื่องการจับปลาระยะเวลา 12 ปี คืออังกฤษจะอนุญาตให้เรือประมงของยุโรปทำการจับปลาในเขตทะเลของอังกฤษต่อไปเพื่อแลกกับการที่อียูลดขั้นตอนด้านระเบียบการให้แก่เกษตรกรและชาวประมงของอังกฤษในการส่งออกสินค้าไปยังอียู แต่พรรคฝ่ายค้านในอังกฤษได้ตำหนิข้อตกลงนี้เนื่องจากวิตกกังวลว่า สิทธิและผลประโยชน์ของชาวประมงอังกฤษจะได้รับผลกระทบ แต่บรรดาผู้สังเกตการณ์เห็นว่า นี่เป็นการประนีประนอมที่จำเป็นของอังกฤษและแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนะของผู้นำอังกฤษหลังจากที่ประเทศนี้ต้องประสบอุปสรรคเป็นเวลาหลายปี หลัง Brexit นาย David Henig ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการค้าอังกฤษจากศูนย์ยุโรปเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศหรือ ECIPE ได้ให้ข้อสังเกตว่า
“ข้อตกลงนี้มีความหมายมากในช่วงหลัง Brexit เพราะสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า อังกฤษกำลังยกเลิกความคิดในการออกข้อกำหนดเฉพาะของตนและยอมรับว่า อังกฤษต้องปรับตัวให้เข้ากับตลาดยุโรปเนื่องจากเป็นตลาดที่มีการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับอังกษฤถึงร้อยละ 50 ”
ส่วนสำหรับอียู การบรรลุข้อตกลงที่สำคัญกับอังกฤษถือเป็นความสำเร็จใหญ่ของกลุ่มนี้เพราะการที่อังกฤษยอมรับข้อกำหนดต่างๆของอียูได้แสดงให้เห็นว่า อียูยังคงเป็นฝ่ายที่มีความได้เปรียบในความสัมพันธ์ใหม่กับอังกฤษหลัง Brexit นาง อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปหรืออีซีได้เผยว่า
“พวกเรากำลังเปิดหน้าใหม่ในความสัมพันธ์ทวิภาคีเฉพาะ นี่เป็นเรื่องของหุ้นส่วนที่ยาวนานที่ได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่บนเวทีโลก ร่วมกันเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ร่วมกันพยายามบรรลุเป้าหมายร่วมและแลกเปลี่ยนคุณค่าร่วม ดังนั้น พวกเราได้แสวงหามาตรการที่นำผลประโยชน์มาให้แก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย”
ร่วมกันรับมือความท้าทายด้านความมั่นคง
บรรดาผู้สังเกตการณ์เผยว่า ข้อตกลงต่างๆที่ได้บรรลุระหว่างอังกฤษกับอียูไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการ Brexit ได้โดยทั้งอียูและอังกฤษต่างกำหนดกรอบความสัมพันธ์ใหม่ โดยนาย เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ยืนยันว่า อังกฤษจะไม่กลับเข้าร่วมตลาดร่วมและสหภาพศุลกากรอียู ไม่ยอมรับการเดินทางอย่างเสรีระหว่างอังกฤษกับอียู จำกัดการผ่อนปรนข้อกำหนดด้านการบริการ โดยเฉพาะบริการการเงิน ส่วนอียูก็ระมัดระวังต่อการมอบสิทธิพิเศษให้แก่อังกฤษ แต่อย่างไรก็ดี ข้อตกลงต่างๆ ที่เพิ่งลงนามนั้นจะช่วยให้อังกฤษสามารถเข้าถึงตลาดร่วมของยุโรปด้วยสิทธิพิเศษ โดยไม่มีประเทศนอกกลุ่มอียูรวมถึงประเทศนอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ และลิคเทนสไตน์ที่เป็นภาคีในข้อตกลงการค้าเสรียุโรป- EFTA ใดเคยได้รับ
นอกจากผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนระหว่างสองฝ่ายแล้ว อีกหนึ่งด้านที่ได้รับความสนใจในข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับอียูคือด้านความมั่นคง-กลาโหม โดยทั้งสองฝ่ายได้ยอมรับสนธิสัญญาด้านความมั่นคงและกลาโหมที่อนุญาตให้อังกฤษเข้าถึงกองทุนกลาโหมของอียู มูลค่า 1 แสน 4 หมื่น 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและอังกฤษมีภาระหน้าที่สมทบเงินเข้ากองทุนด้วย ในระยะยาว อังกฤษอาจเข้าร่วมโครงการจัดสรรอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ยุโรปมูลค่า 8 แสนล้านยูโร ที่นาง อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน เสนอเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นี่เป็นปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ในสภาวการณ์ที่ทั้งอังกฤษและอียูต้องเผชิญกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ไร้เสถียรภาพในยุโรปเนื่องจากการปะทะระหว่างรัสเซียกับยูเครนและการเปลี่ยนแปลงนโยบายการต่างประเทศของทางการสหรัฐ นาง Olivia O’Sullivan ผู้อำนวยการวิจัยเกี่ยวกับอังกฤษของโครงการโลก สถาบัน Chatham House ของอังกฤษได้ให้ข้อสังเกตุว่า การที่สหรัฐลดคำมั่นต่างๆ กับยุโรปได้บังคับให้อังกฤษและอียูต้องส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ควบคู่กับสนธิสัญญาความมั่นคง-กลาโหมกับอียู ในเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลอังกฤษได้ผลักดันความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศอียูหลักๆ เช่น การลงนามข้อตกลงการพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลกับเยอรมนีและร่วมกับฝรั่งเศสผลักดันการจัดตั้งสหพันธ์รักษาสันติภาพในยูเครนในกรณีที่ฝ่ายต่างๆที่เข้าร่วมการปะทะสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในระยะยาว.