(VOVWORLD) -จากการตระหนักได้ดีว่า พลังงานว่าเป็นปัจจัยหลักของเศรษฐกิจ เป็นเสาหลักปกป้องความมั่นคงด้านกลาโหมและความมั่นคงของประเทศ เมื่อเร็วๆนี้ เวียดนามได้ประกาศใช้มติที่ 70 ของส่วนกลางว่าด้วยการค้ำประกันความมั่นคงด้านพลังงานแห่งชาติจนถึงปี 2030 และวิสัยทัศน์ถึงปี 2045 ซึ่งถือเป็นก้าวเดินเชิงยุทธศาสตร์เพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ของยุคแห่งการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยล
มติที่ 70 ได้ถูกประกาศใช้ในสภาวการณ์ที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น วิกฤตพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์และการปรับเปลี่ยนของห่วงโซ่อุปทานโลก
สำหรับเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวในระดับสูงและมีความต้องการด้านพลังงานนับวันเพิ่มมากขึ้น การค้ำประกันความมั่นคงด้านพลังงานอย่างมั่นคงถือเป็นเงื่อนไขชี้ขาดในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและยกระดับสถานะของเวียดนามบนเวทีโลก
กำหนดแนวทางเชิงก้าวกระโดดต่างๆ
มติที่ 70 ได้กำหนดแนวทางเชิงก้าวกระโดดต่างๆ รวมทั้งการปฏิรูประเบียบราชการอย่างเข้มแข็ง โดยเน้นถึงการปรับปรุงกลไก นโยบาย และการบริหารภาครัฐ ตั้งแต่การเสริมสร้างระบบกฎหมายให้มีความสมบูรณ์ การสร้างตลาดไฟฟ้าที่มีการแข่งขัน ไปจนถึงกลไกราคาค่าไฟที่โปร่งใส นายเหงียนแทงหงิ หัวหน้าคณะกรรมการกำหนดนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ส่วนกลางได้ยืนยันว่า
"การปรับปรุงระเบียบราชการและชนโยบายให้สมบูรณ์ให้กลายเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นรากฐานที่มั่นคง และเป็นพลังขับเคลื่อนต่อการพัฒนาพลังงาน มติที่ 70 ได้กำหนดให้ทำการปรับปรุงระบบกฎหมายให้มีความสมบูรณ์เพื่อแก้ไขอุปสรรคทางกลไกให้แก่โครงการพลังงานต่างๆ รวมทั้งสร้างกลไกที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดและดำเนินโครงการพลังงานที่สำคัญๆและเร่งด่วน นอกจากนี้ก็ต้องปรับปรุงนโยบายทางการเงินเพื่อสามารถระดมแหล่งเงินลงทุน รวมทั้งเงินลงทุนภาคเอกชนและเงินลงทุนจากต่างประเทศในด้านพลังงานให้มากที่สุด"
นอกจากนั้น มติที่ 70 ยังได้เน้นถึงประเด็นสำคัญๆ เช่น การขยายบทบาทของภาคเอกชน การพัฒนาแหล่งพลังงานที่หลากหลาย การเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดและพลังงานนิวเคลียร์ การพัฒนาระบบไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้ทันสมัย ลดการพึ่งพาการนำเข้าและค้ำประกันความมั่นคงของแหล่งจัดสรรพลังงาน เป็นต้น โดยตั้งเป้าไว้ว่า ไม่เพียงแต่ค้ำประกันไฟฟ้าอย่างเพียงพอสำหรับการขยายตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้แก่การปรับปลับเปลี่ยนพลังงานอย่างครอบคลุมในเวียดนามอีกด้วย โดยไฮไลท์น์ของมติที่ 70 คือ การเปลี่ยนแปลงเชิงความคิดอย่างเด็ดขาด จาก “การประกันการจัดหา” ไปสู่ “การประกันความมั่นคงด้านพลังงานในเชิงรุกและอย่างยั่งยืนและเชิงรุก” ดร. ยางเชิ้นเตย นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อสังเกตุว่า
"สิ่งที่น่าสนใจคือ มติที่ 70 ได้กำหนดว่า พลังงานต้องเดินหน้าหนึ่งก้าวเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายคือมีพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ร้อยละ 25 ถึง 30 และกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมันต้องตอบสนองความต้องการบริโภคน้ำมันภายในประเทศได้อย่างน้อยร้อยละ 70 นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในแนวคิดด้านความมั่นคงพลังงาน จากการ “รับประกันการจัดหา” ไปสู่การ “ประกันความมั่นคงอย่างยั่งยืนและเชิงรุก ผมขอแสดงความยินดีต่อความคิดในมตินี้คือคืะ ไม่เพียงแต่มุ่งเป้าค้ำประกันให้ก้การจัดสรรไฟฟ้าและน้ำมันมีเพียงพอเท่านั้น แต่ยังมุ่งไปสู่พลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฎิกิริยาฎิกิริยาเรือนกระจก และมีความพร้อมเพรียงกันในด้านกลไก แหล่งเงินทุน เทคโนโล,ยี บุคลากร ไปจนถึงตลาดที่มีการแข่งขันอย่างโปร่งใสอีกด้วย"
ตั้งใจปฏิบัติยุทธศาสตร์ความมมั่นคงด้านพลังงานใหม่
เพื่อมีส่วนร่วมปฏิบัติมติที่ 70 ให้เป็นรูปธรรม สอดแทรกยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านพลังงานใหม่เข้าสู่ชีวิตและกลายเป็นพลังขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็วและยั่งยืน ในพิธีเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งกลุ่มอุตสาหกรรม–พลังงานแห่งชาติของเวียดนาม หรือ PetroVietnam เมื่อบ่ายวันที่ 21 กันยายน เลขาธิการใหญ่พรรค โตเลิม ได้กำชับว่า ในฐานะเป็นกลุ่มเศรษฐกิจชั้นนำของประเทศ PetroVietnam ต้องเป็นบริษัทเดินหน้าในการค้ำประกันความมั่นคงด้านพลังงานแห่งชาติ ธำรงบทบาทการเป็นแกนหลักในการจัดสรรพลังงานที่จำเป็นต่อประเทศ ต้องค้ำประกันความมั่นคงด้านพลังงานของชาติอย่างยั่งยืน โดยมีรูปแบบพลังงานตามโมเดล 3 ชั้น ได้แก่ แหล่งพลังงานแบบดั้งเดิมที่มั่นคงและยืดหยุ่น ก๊าซธรรมชาติเหลว การจัดเก็บพลังงาน และแหล่งพลังงานใหม่ เช่น พลังงานลมและพลังงานนิวเคลียร์ ต้องเป็นฝ่ายรุกในการเพิ่มการสำรองเชิงยุทธศาสตร์ ควบคุมและปรับการจัดสรรพลังงานอย่างคล่องตัว โดยเชื่อมโยงกับความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคงด้านกลาโหม และการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกัน มีโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดรายใหญ่ได้รับการ ปฏิบัติ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ พลังงานหมุนเวียน ระบบสายส่งไฟฟ้าแห่งชาติ ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและรัฐบาลกำชับให้เพิ่มการนำเข้าถ่านหินและ LNG เพื่อค้ำประกันความปลอดภัยในการจัดสรรไฟฟ้า นอกจากนี้ เวียดนามยังผลักดันการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยเวียดนามกำลังติดกลุ่มประเทศชั้นนำของภูมิภาคในด้านกำลังการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานลม มีโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งและไฮโดรเจนสีเขียวหลายโครงการที่อยู่ในระหว่างเตรียมการลงทุน รัฐบาลได้ออกกลไกสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (DPPA) เพื่อเอื้อให้สถานประกอบการสามารถใช้พลังงานสะอาดได้
ความพยายามทั้งหมดนี้ถือเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของเวียดนามในการสร้างระบบพลังงานที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืน ซึ่งมีส่วนช่วยให้ความฝันในการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองกลายเป็นความจริง.