พัฒนาการใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น

(VOVworld) – นับตั้งแต่วันที่๑มิถุนายนนี้เป็นต้นไป สองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกคือญี่ปุ่นและจีนจะใช้เงินสกุลเยน และเงินสกุลหยวนในการค้าขายระหว่างกันซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างสองประเทศ

(VOVworld) – ท่านผู้ฟังที่เคารพ นับตั้งแต่วันที่๑มิถุนายนนี้เป็นต้นไป สองประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกคือญี่ปุ่นและจีนจะใช้เงินสกุลเยน และเงินสกุลหยวนในการค้าขายระหว่างกันซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างสองประเทศ

พัฒนาการใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น - ảnh 1
ญี่ปุ่นและจีนจะใช้เงินสกุลเยน และเงินสกุลหยวนในการค้าขายระหว่างกัน(Photo:Internet)

(VOVworld) – เมื่อวันที่๒๙พฤษภาคม นายจุน อาซูมิ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้กล่าวว่า การเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นตัวกลางในการค้าระหว่างญี่ปุ่นกับจีนจะช่วยให้ทั้งสองประเทศสามารถลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการชำระบัญชีของสถาบันการเงิน ส่วนแถลงการณ์จากธนาคารประชาชนของจีนก็ยืนยันว่า การใช้เงินสองสกุลคือ"เยนและหยวน"ดำเนินธุรกรรมทางการค้าจะมีส่วนร่วมขยายความร่วมมือทางการเงินระหว่างสองประเทศซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จีนยอมให้มีการซื้อขายเงินหยวนกับเงินสกุลหลักอื่นของโลกโดยตรงนอกเหนือจากเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐ  บรรดาผู้สันทัดกรณีเห็นว่า การแลกเปลี่ยนเงินตราโดยตรงดังกล่าวจะช่วยให้นักธุรกิจของทั้งสองประเทศลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเงินสกุลดอลลาร์และค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมผ่านเงินสกุลดอลลาร์  สำหรับจีน การปฏิบัติแนวทางนี้ก็เพื่อเป้าหมายระยะยาวคือทำให้เงินหยวนกลายเป็นสกุลเงินหลักของโลก ส่วนสำหรับญี่ปุ่น นักธุรกิจญี่ปุ่นจะได้รับประโชน์จากการแลกเปลี่ยนกับเงินหยวนที่ศูนย์กลางการเงินอื่นๆ เช่น ลอนดอน และสิงคโปร์ที่กำลังเรียกร้องให้จัดตั้งระบบแลกเปลี่ยนเงินตราโดยตรงกับเงินเหยวน ระบบการแลกเปลี่ยนโดยตรงนี้จะส่งเสริมให้เอกชนญี่ปุ่นซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน
ปัจจุบัน จีนและญี่ปุ่นมีมูลค่าการค้าต่างตอบแทนในระดับที่สูงมากและเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญโดยมีการค้าขายผ่านเงินสกุลดอลล่าร์คิดเป็นร้อยละ๖๐ วิกฤติเศรษฐกิจโลกเมื่อปี๒๐๐๘และเศรษฐกิจที่ชลอตัวของสหรัฐ รวมทั้งวิกฤติหนี้สาธารณะได้ส่งผลเสียต่อตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะ การส่งออกของทั้งสองประเทศ และสองประเทศนี้ตระหนักได้ดีว่า เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนจำเป็นต้องลดการพึ่งพาเงินดอลล่าร์ ดังนั้น เมื่อเดือนพฤษจิกายนปี๒๐๑๑ ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าที่ใช้เงินสกุลเยนและเงินหยวนโดยมีการจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างกันโดยตรงขึ้นที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น และนครเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน    ในทางเป็นจริง ระบบการเงินระหว่างประเทศที่อาศัยเงินดอลล่าร์มากเกินไปได้ส่อให้เห็นถึงข้อบกพร่องต่างๆดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างการเงินให้ดีขึ้น และ มองจากขนาดเศรษฐกิจ การลงทุนและการค้าเป็นหลักซึ่งเงินหยวนมีศักยภาพมากที่สุดในการแข่งขันกับเงินดอลล่าร์เพื่อใช้ทำธุรกิรรมและเก็บเข้าคลังสำรองนานาชาติ ดังนั้นบรรดาผู้สันทัดกรณีจึงพยากรณ์ว่า ในระยะปานกลาง เงินหยวนจะได้รับการยอมรับในตลาดการเงินโลกและในระยะยาวจะกลายเป็นเงินสกุลหลัก
ปัจจุบัน จีนได้ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินตรากับธนาคารกลางของโลก๑๖แห่ง รวมทั้งสมาชิกของกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วหรือBRICอันประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดียและจีน เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จีนได้ลงนามในข้อตกลงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินตรากับออสเตรเลียซึ่งเป็นผู้จัดสรรถ่านหินและแร่เหล็กรายใหญ่ของจีน เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารStandart Charteredได้ประกาศว่า ในปี๒๐๑๒จะจัดตั้งตลาดแลกเปลี่ยนเงินหยวน ณ กรุงลอนดอน และสิงคโปร์ การที่ญี่ปุ่นและจีนใช้เงินสกุลเยนและเงินหยวนในการดำเนินธุรกิจการค้าสะท้อนให้เห็นแนวโน้มที่ถูกต้องเป็นผลประโยชน์ให้แก่ทั้งสองประเทศซึ่งสำหรับจีนนี่เป็นก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางยกระดับบทบาทของเงินหยวนบนเวทีโลก ลดการพึ่งพาเงินดอลล่าร์และเงินยูโร่ อีกทั้งทำให้ค่าเงินดอลลาร์และยูโร่อ่อนตัวลง  นอกจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแล้ว การใช้เงินสกุลเยน และเงินหยวนในการดำเนินธุรกิจยังส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างสองประเทศ ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจรวดเร็วที่สุดในโลกและมีความเป็นได้ที่จะเป็นคู่แข่งของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจหมายเลข๑ของโลกคือสหรัฐ ส่วนญี่ปุ่น ภายหลังระยะพัฒนาในช่วงทศวรรษ๖๐และ๗๐ ประเทศนี้ได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก และกำลังยกระดับบทบาททางการเมืองให้สมกับศักยภาพทางเศรษฐกิจของตนในเอเชีย แปซิฟิกและโลก ดังนั้นการขยายความไว้วางใจกันเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจึงเป็นแนวโน้มที่ทั้งสองประเทศกำลังพยายามก้าวไปให้ถึง ./.

                                                                                                                                   

 

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด