เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัว
Quang Dung -  
(VOVWORLD) - ในระหว่างวันที่ 13-18 ตุลาคม กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF และธนาคารโลกหรือ WB ได้จัดการประชุมประจำปี ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐ โดยเตือนว่า เศรษฐกิจโลกกำลังมีสัญญาณที่บ่งบอกถึงความตึงเครียดเนื่องจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐและการขยายตัวของลัทธิคุ้มครองการค้า
(REUTERS/Mike Blake) |
ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกหรือ WEO ล่าสุดที่เผยแพร่โดย IMF ปรากฎว่า ก่อนการประชุมประจำปี คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโตร้อยละ 3.2 ในปีนี้ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3 แต่การเติบโตในปี 2026 จะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 3.1
ความมืดมนในระยะยาว
IMF อธิบายเกี่ยวกับการคาดการณ์เศรษฐกิจล่าสุดว่า การเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตในปีนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราว เช่น กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูเนื่องจากสถานประกอบการและครัวเรือนเร่งทำการซื้อสินค้าก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้า บวกกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตการค้าโลก แต่อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า แนวโน้มในระยะกลางและระยะยาวยังคงมีความมืดมน
ปัจจัยแรกคือความตึงเครียดด้านการค้าโลกกำลังมีสัญญาณทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมว่า จะเก็บภาษีสินค้าที่นำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อตอบโต้มาตรการจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากของทางการปักกิ่งที่ประกาศใช้เมื่อเร็วๆ นี้ ส่วนเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า สหรัฐ “กำลังทำสงครามการค้ากับจีน” แต่ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดและประกาศความพร้อมในการเจรจาให้เร็วที่สุด ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญยังคงแสดงความเห็นว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับจีนยังคงเต็มไปด้วยความผันผวนอย่างซับซ้อน ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในระยะกลางและระยะยาว
นอกจากนี้ รายงานของ IMF ยังแสดงให้เห็นว่า แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจใหญ่ๆยังไม่สดใส สำหรับสหรัฐซึ่งเป็นเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 2 ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2024 และคาดว่าจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ในปี 2026 เขตยูโรโซนจะเติบโตเพียงร้อยละ 1.2 ในปีนี้และร้อยละ 1.1 ในปีหน้า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงเหลือร้อยละ 4.8 ในปีนี้และร้อยละ 4.2 ในปี 2026 ที่น่าสนใจคือ IMF ระบุว่า นับวันมีสัญญาณที่บ่งบอกว่า ผลกระทบของภาษีที่สูงเริ่มขยายกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งดัชนีอัตราเงินเฟ้อที่สำคัญและอัตราการว่างงานได้เพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อกำลังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางในบางประเทศ และแนวโน้มราคายังคงมีความไม่มั่นคง ทำให้การกำหนดนโยบายการเงินมีความซับซ้อนมากขึ้น นาง คริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการจัดการของ IMF แสดงความเห็นว่า
“แนวโน้มการเติบโตในระยะกลางยังคงอ่อนแอ ปัญหาหนี้สาธารณะกำลังใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังมีความไม่สมดุลเป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆทำให้เศรษฐกิจโลกยากที่จะคาดเดาได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชน”
นาง คริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการจัดการ IMF (REUTERS/Cecile Mantovani ) |
ความหวังใหม่
ถึงแม้จะมีความเสี่ยงที่น่ากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกในระยะกลาง แต่ในการประชุมประจำปี ณ กรุงวอชิงตัน IMF และองค์กรหลายแห่งต่างย้ำถึงปัจจัยที่อาจกลายเป็นจุดเด่นที่นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจโลก นาย ปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูรินชาส ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ IMF ระบุว่า หนึ่งในปัจจัยที่ช่วยลดผลกระทบจากภาษีในช่วงครึ่งแรกของปีนี้คือ การขยายตัวของการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ตามการคำนวณของ IMF ปัจจุบัน AI สามารถมีส่วนช่วยต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกได้เพียง 0.1% ถึง 0.8% ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่า ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่เติบโตเพียงประมาณร้อยละ 3 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนในรายงานการค้าโลกที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม WTO ยังย้ำถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ AI ในการค้าโลกและการมีส่วนร่วมของ AI ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ นาย มาร์ค บาเชตตา นักเศรษฐศาสตร์ของ WTO แสดงความเห็นว่า
การแลกเปลี่ยนการค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI เป็นปัจจัยหลักของพลังขับเคลื่อนการเติบโตของการค้าโลกในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยการเติบโตของการค้าที่เกี่ยวข้องกับ AI เกิดจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์คลาวด์
ตามความเห็นของนาง คริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการจัดการ IMF อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจช่วยให้เศรษฐกิจโลกหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายลงในเวลาที่จะถึงคือ การที่ประเทศส่วนใหญ่ไม่ตอบโต้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจโลกและช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรที่อาจสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ความไร้เสถียรภาพของการค้าโลกที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ทำให้หลายประเทศผลักดันยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มความหลากหลายในความสัมพันธ์ทางการค้า แสวงหาความร่วมมือทางการค้ารูปแบบใหม่นอกเหนือจากกรอบความร่วมมือระหว่างสหรัฐ-จีน
ปัจจุบัน สหภาพยุโรปหรือ EU กำลังพยายามเชื่อมโยงกับข้อตกลงหุ้นส่วนในทุกด้านและก้าวหน้าภาคพื้นแปซิฟิกหรือ CPTPP ซึ่งเป็นกลุ่มการค้าเสรีที่ประกอบด้วย 11 ประเทศสมาชิก และเร่งเจรจาการค้ากับอินเดีย ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายน คณะกรรมาธิการยุโรปหรือ EC ได้อนุมัติข้อตกลงการค้าเสรีหรือ FTA กับกลุ่มตลาดร่วมอเมริกาใต้ตอนล่างหรือ MERCOSUR ซึ่งยุทธศาสตร์เพิ่มความหลากหลายสำหรับหุ้นส่วนการค้ากำลังได้รับการส่งเสริมโดยประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และเศรษฐกิจใหญ่ๆในแอฟริกา โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวางแผน การพัฒนาเศรษฐกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศของอียิปต์ ราเนีย อัล-มาชัต กล่าวว่า การเพิ่มความร่วมมือในระดับภูมิภาคเป็น “สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” จากความผันผวนในเวลาที่ผ่านมา และจะยังคงเป็นแนวทางสำคัญของประเทศต่างๆ ในเวลาที่จะถึง.
Quang Dung