นาย เหงวียนวันเตวี๊ยน ชาวจังหวัดกว๋างหงาย ได้นำกาบหมากที่เป็นเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ชาม จาน หรือภาชนะใส่อาหาร (VTC News)

จังหวัดกว๋างหงาย ขึ้นชื่อว่าเป็น “ดินแดนแห่งต้นหมาก” โดยพื้นที่เพาะปลูกหลักๆ อยู่ที่อำเภอเซินเตยและเหงียแห่ง รวมกว่า 2,000 เฮกตาร์ ปกติ ชาวบ้านจะเก็บลูกหมากเพื่อขายให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าคนกลางเท่านั้น ขณะที่กาบหมากที่หล่นลงพื้นถือเป็นของที่ไร้มูลค่า เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อเห็นชาวบ้านนำกาบหมากไปเผาทิ้ง นาย เหงวียนวันเตวี๊ยน เกษตรกรวัย 41 ปี ได้มีความคิดที่ต้องการเปลี่ยนกาบหมากให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ หลังจากได้อ่านชุดเอกสารทางออนไลน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกาบหมากที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในประเทศอินเดีย เมื่อปลายปี 2019 นายเตวี๊ยน ได้ตัดสินใจลงทุนสร้างโรงงานผลิตในอำเภอเหงียแห่ง

“สำหรับผม กาบหมากไม่ใช่ขยะเหลือทิ้งแต่ควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ผมรู้จักกาบหมากมานานแล้วหลายปีเพราะมันอยู่คู่กับชีวิตผมมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้น ทุกคนมักจะใช้ไปทำกังหันหรือกระบวยตักน้ำ ส่วนผมมองว่า สามารถเอากาบหมากไปทำเป็นจานชามได้ เลยศึกษาวิจัยแล้วลงมือทำ”

เพื่อให้มีวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เขารับซื้อกาบหมากจากชาวบ้านในพื้นที่ในช่วงเดือนมีนาคมถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่กาบหมากหล่นจากต้น โดยจำนวนกาบหมากที่สามารถเก็บได้สำหรับพื้นที่ปลูกต้นหมาก 1 เฮกตาร์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12,500 ชิ้นต่อปี

“ผมตั้งจุดรับซื้อกาบหมากหลายจุดในบริเวณชานเมืองแล้วค่อยนำส่งไปที่โรงงาน ส่วนเรื่องเครื่องจักร ผมต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ตอนนี้ โรงงานมีเครื่องจักรที่พร้อมใช้งานในการผลิตจานชามจากกาบหมากภายในประเทศเวียดนาม”

กาบหมากที่เพิ่งเก็บจะถูกล้างให้สะอาด แช่น้ำจนนิ่ม นำไปตากให้สะเด็ดน้ำแล้ววางลงในแม่พิมพ์รีดร้อนเพื่ออัดขึ้นรูปเป็นถ้วย จาน ช้อน กระบวย หรือถาดอาหาร  โดยโรงงานจะออกแบบแม่พิมพ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ ยังสามารถพิมพ์รูปภาพลงบนผลิตภัณฑ์ได้ด้วย

กาบหมากที่เพิ่งเก็บจะถูกล้างให้สะอาด แช่น้ำจนนิ่ม นำไปตากให้สะเด็ดน้ำแล้ววางลงในแม่พิมพ์รีดร้อนเพื่ออัดขึ้นรูปเป็นถ้วย จาน ช้อน กระบวย หรือถาดอาหาร  (VTC News)

ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกาบหมากจะได้รับการฆ่าเชื้อด้วยแสง UV ก่อนนำไปบรรจุหีบห่อ และบริษัทต้องส่งสินค้าตัวอย่างไปตรวจสอบตามข้อกำหนดก่อนจำหน่ายสู่ตลาด โดยสินค้าต้องมีความแข็งแรงและกันน้ำได้ดี พร้อมบรรจุในถุงพลาสติกซีลด้วยความร้อน ดังนั้น จึงสามารถใส่อาหาร ผลไม้ หรือเครื่องปรุงได้ นายเตวี๊ยน เผยว่า

“จุดเด่นของกาบหมากคือมีความแข็งแรงมาก ในกระบวนการผลิต จะไม่มีการใช้สารเคมีใดๆ  ดังนั้น สามารถใส่อาหารทั้งร้อนและเย็น น้ำดื่ม หรือใช้กับไมโครเวฟได้ ซึ่งเป็นข้อดีของกาบหมากเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบอื่นๆ”

เมื่อปี 2020 นายเตวี๊ยน ได้นำสินค้าต่างๆ ที่ทำจากกาบหมากของโรงงานไปแนะนำที่งานแสดงสินค้าหลายแห่ง ซึ่งได้รับความสนใจและมียอดสั่งซื้อจำนวนมาก โดยเฉพาะมีสายการบินแห่งหนึ่งได้ลงนามสัญญาสั่งซื้อแก้วและจานที่ทำจากกาบหมาก เพื่อให้บริการผู้โดยสารในชั้นธุรกิจ

“ผมได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่นครโฮจิมินห์และกรุงฮานอย รวมถึงการนำสินค้าขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักสินค้ามากขึ้นก่อนทำการสั่งซื้อ”

ยิ่งไปกว่านั้น นายเตวี๊ยน ได้ขยายกำลังการผลิตเมื่อกลางปี 2021 ปัจจุบัน โรงงานของเขาสร้างงานทำประจำให้แก่แรงงานท้องถิ่น 10-12 คน ด้วยรายได้อยู่ที่ 200,000 ถึง 240,000 ด่องต่อวัน ยอดสินค้าที่จำหน่ายในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ราว 500,000 ชิ้นต่อเดือน และผู้บริโภคสามารถเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่ในเรื่องความสะอาดของผลิตภัณฑ์

“เมื่อฉันทำอาหารและอยากหาภาชนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฉันจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกาบหมาก ฉันเห็นว่า นี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ทำจากวัตถุดิบธรรมชาติและเหมาะสำหรับใช้บรรจุอาหารแปรรูป”

“จุดเด่นของผลิตภัณฑ์จานชามที่ทำจากกาบหมากคือ มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและราคาไม่แพง ซึ่งเหมาะสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการอย่างผม ส่วนนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็อยากซื้อสินค้าแบบนี้กลับไปใช้ที่บ้าน หลังได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ที่ร้านของผม”

ทั้งนี้ ราคาขายของผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกาบหมากเพียงแค่ 1,000-4,000 ด่องต่อชิ้นและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจากตลาดต่างประเทศเนื่องจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนถึงปัจจุบัน  ผลิตภัณฑ์ของนายเตวี๊ยนได้มีการส่งออกไปยังหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เกาหลี สิงคโปร์ และจีน ช่วยสร้างรายได้ให้กับโรงงานกว่า 2 พันล้านด่องต่อปี

นอกเหนือจากกาบหมากแล้ว นายเตวี๊ยน ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชามและจานที่ทำจากใบโพทะเล ซึ่งเป็นต้นไม้ริมชายฝั่ง โดยในเวลาข้างหน้า เขาจะพยายามทำราคาสินค้าให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากขึ้น./.