ตามฐานข้อมูลประชากรแห่งชาติ เวียดนามมีผู้สูงอายุประมาณ 16.1 ล้านคน คิดเป็นกว่าร้อยละ 16 ของประชากร ซึ่งในนั้น ผู้สูงอายุกว่า 1 ล้านคนกำลังปฏิบัติงานด้านสังคมต่างๆ ในหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆ และกว่า 9 ล้านคนกำลังทำงานในภาคการผลิตและธุรกิจ ซึ่งในนั้นมีหลายคนได้รับประกาศเกียรติคุณเป็นวีรชนแรงงานในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพรรคและรัฐ ซึ่งนี่ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญเพื่อสร้างสรรค์ “เศรษฐกิจสีเงินหรือเศรษฐกิจผู้สูงวัย (silver economy) ในเวียดนามในศักราชใหม่”

  ผู้สูงอายุคือสมบัติของประชาชาติ

ในคำเรียกร้องให้ผู้สูงอายุสามัคคีกันเมื่อปี 1941 ประธานโฮจิมินห์ได้ชี้ชัดว่า “ประเทศที่เจริญเข้มแข็งโดยผู้สูงอายุร่วมสร้างสรรค์ ประเทศที่คงอยู่โดยผู้สูงอายุร่วมแรงรักษา ประเทศที่สูญเสีย ผู้สูงอายุช่วยกอบกู้ ประเทศที่ล่มสลาย ผู้สูงอายุช่วยฟื้นฟู”  ส่วนในคำสั่งที่ 59 เมื่อวันที่ 27 กันยายนปี 1995 ของคณะเลขาธิการกลางพรรคสมัยที่ 7 เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุระบุว่า ผู้สูงอายุคือสมบัติของประชาชาติ เป็นกองกำลังที่มีประสบการณ์ มีบทบาทที่สำคัญในครอบครัวและสังคม สำหรับบทบาทของผู้สูงอายุ ในการพบปะกับเจ้าหน้าที่ผู้สูงอาวุเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2024  เลขาธิการใหญ่พรรค โตเลิม ซึ่งในตอนนั้น ดำรงตำแหน่งประธานประเทศได้ยืนยันว่า ผู้สูงวัยคือสมบัติของประชาชาติ

“ในทุกยุคทุกสมัย ผู้สูงอายุเป็นเสาหลักของประเทศ มีส่วนร่วมอย่างสุดความสามารถต่อประเทศ เป็นเปลวไฟที่จุดปประกายจิตใจแห่งการพึ่งตนเอง ความอยู่รอดของประชาชาติ ประเทศเรามีศักยภาพและสถานะที่สูงเด่นบนเวทีโลกในปัจจุบันซึ่งมีส่วนร่วมที่สำคัญของผู้สูงอายุเวียดนาม”

ปัจจุบัน ผู้สูงวัยหลายคนยังคงทำงาน ผลิต วิจัยวิทยาศาสตร์ บริหารสถานประกอบการหรือสอนอาชีพพื้นเมืองให้แก่คนรุ่นหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แม้จะอายุมากขึ้นแต่ส่วนร่วมในการทำเพื่อสังคมไม่ลดลง พร้อมทั้งเป็นการยืนยันบทบาทที่ไม่สามารถทดแทนได้ของผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุวัย 70 ปีหรือ 80 ปียังคงสามารถเปิดชั้นเรียนสอนหนังสือ เข้าร่วมกิจกรรมวัฒนธรรมและศิลปะ ส่งเสริมการศึกษา  ให้คำปรึกษาหรือพัฒนาหมู่บ้านศิลปชีพต่างๆ ที่แขวงเกิ่วเย้ย กรุงฮานอย มีชั้นเรียนพิเศษ “การปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลและ AI” สำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 65-85 ปี ของครู ดิงหงอกเซิน เจ้าหน้าที่เกษียณอายุราชการ อดีตรองหัวหน้าภาควิชาการกระจายเสียง โทรทัศน์ของสถาบันสื่อมวลชนและการประชาสัมพันธ์ ครู ดิงหงอกเซิน เผยว่า

“การเปิดชั้นเรียนนี้ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุในการเรียนต่อเพราะพวกเรามีหลายเครื่องมือเพื่อศึกษา รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์และการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล ในอนาคต ผมอยากช่วยให้ผู้สูงอายุมีความมั่นใจในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถได้รับประโยชน์จากการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล”

ส่งเสริมบทบาทของผู้สูงอายุในศักราชใหม่

ในหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามได้ประกาศใช้นโยบายด้านสาธารณสุข ประกันภัยและสวัสดิการสังคมต่อผู้สูงอายุด้วยวิธีการเข้าถึงใหม่ ถือผู้สูงอายุเป็นแหล่งพลังที่สำคัญ มีส่วนร่วมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม การอนุรักษ์และส่งเสริมคุณค่าวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยในมติมที่ 20 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมปี 2017 การประชุมครั้งที่ 6 คณะกรรมการกลางพรรคสมัยที่ 12 เกี่ยวกับงานด้านการปกป้อง ดูแลและยกระดับสุขภาพของประชาชนในสภาวการณ์ใหม่กำหนดความต้องการในการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพให้แก่ผู้สูงอายุ ผลักดันกิจกรรมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การฟื้นฟูสมรรถภาพและการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนในระยะยาว ซึ่งบรรพที่ 37 ของรัฐธรรมนูญปี 2013 กำหนดว่า ผู้สูงอายุได้รับความเคารพ การดูแลจากพรรค ครอบครัวและสังคมและส่งเสริมบทบาทในภารกิจการสร้างสรรค์และปกป้องปิตุภูมิ

เพื่อส่งเสริมบทบาท ประสบการณ์และสติปัญญาของผู้สูงอายุในการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ปี 2025 นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ “ผู้สูงอายุเข้าร่วมภารกิจการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล การปรับเปลี่ยนแห่งสีเขียว การทำธุรกิจสตาร์อัพและสร้างงานทำ” ซึ่งโครงการดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นก้าวเดินที่สำคัญในการส่งเสริมศักยภาพของผู้สูงอายุเท่านั้น หากยังมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในสภาวการณ์แห่งการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งการทำธุรกิจสตาร์ทอัพของผู้สูงอายุเป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อค้ำประกันสวัสดิการสังคมเพื่อให้ผู้สูงอายุมีส่วนอุทิศต่อไปและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในแนวโน้มประชากรสูงวัยในปัจจุบัน

ในเดือนปฏิบัติงานเพื่อผู้สูงอายุปีนี้ สมาคมผู้สูงอายุทุกระดับจะจัดกิจกรรมกีฬาและวัฒนธรรมต่างๆ เช่น การแข่งหมากรุกจีน การแข่งขันว่ายน้ำ  การแสดงรายการศิลปะ เป็นต้น ซึ่งมีส่วนช่วยยกระดับสุขภาพทางกายและทางใจและสร้างโอกาสการพบปะสังสรรค์ให้แก่ผู้สูงอายุ เน้นดูแลสุขภาพในทุกด้าน เยือนและมอบของขวัญ ตรวจรักษาโรค ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือทางกฎหมาย ปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของผู้สูงอายุในทั่วประเทศ  ซึ่งสถานการณ์ที่เป็นจริงได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อได้รับการดูแลเอาใจใส่และได้เอื้ออำนวย ผู้สูงอายุจะมีส่วนร่วมต่อชุมชนและประเทศต่อไป ถ้าหากประสบการณ์ที่มีค่าของผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมก็จะกลายเป็นแหล่งพลังที่ยิ่งใหญ่ช่วยให้ประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืน.