ป้อมทหารชายแดนบั๊กซาเปิดตัวรูปแบบ “ข้อมูลทางชายแดนดิจิทัล”

 ปัจจุบัน ป้อมทหารชายแดนบั๊กซา กำลังบริหารพื้นที่แนวชายแดนที่ติดกับประเทศจีนระยะทางกว่า 33 กิโลเมตร ด้วยภูมิทัศน์ภูเขาสูง และจำนวนประชากรที่มีความหนาแน่นเพียง 10 กว่าคนต่อตารางกิโลเมตรเท่านั้นและส่วนใหญ่เป็นชาวชนเผ่าหนุ่งที่งานเลี้ยงชีพกับป่าไม้และไม่ค่อยมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมชุมชนมากเท่าไหร่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบดั้งเดิม ขณะที่พื้นที่ดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มที่จะถูกใช้ประโยชน์จากกลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีเพื่อชักชวนหรือล่อลวงและละเมิดกฎระเบียบทางชายแดน ดังนั้น ป้อมทหารชายแดนบั๊กซาได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับรูปแบบ “ข้อมูลทางชายแดนดิจิทัล” ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิผลของกิจกรรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายทางชายแดนและส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น โดยรูปแบบการปฏิบัติงานของโมเดลนี้ไม่ยุ่งยากและสามารถเข้าถึงได้ง่าย ผ่านการใช้เพียงกล้องสมาร์ทโฟนสแกนรหัส QR ณ สถานที่ชุมชน ซึ่งทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายเขตชายแดน ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวในท้องถิ่นหรือกฎระเบียบทั่วไปต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

“วันนี้ ฉันได้มาทำเอกสารราชการและมีเจ้าหน้าที่ทหารชายแดนให้คำปรึกษาพร้อมช่วยสแกนรหัส ซึ่งในนั้น มีข้อมูลความรู้ทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์มากมาย”

 “ผมเห็นว่า รูปแบบนี้ใช้งานง่ายมาก แค่สแกน QR code ก็สามารถอัพเดตข้อมูลข่าวสารพร้อมรูปภาพของตำบล หมู่บ้าน และป้อมทหารชายแดนแล้ว”

“ผมได้ขับรถผ่านบริเวณชายแดนอยู่บ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่ทหารชายแดนได้แนะนำให้ผมสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับกฎหมายชายแดน โดยเฉพาะการไม่นำสินค้าต้องห้ามหรือสินค้าผิดกฎหมายติดตัวไปด้วย โดยเนื้อหากระชับ เข้าใจก็ง่าย และสอดคล้องกกับระดับการรับรู้ของชาวบ้าน”

พันโท หว่างหงอกฮ้วน (Hoàng Ngọc Huấn) เจ้าหน้าที่ด้านการเมือง ของป้อมทหารชายแดนบั๊กซา เผยว่า รูปแบบ “ข้อมูลทางชายแดนดิจิทัล” เป็นความคิดริเริ่มของขบวนการแข่งขันเพื่อปรับปรุงนวัตกรรมทางเทคนิคและยกระดับคุณภาพงานบริหารพื้นที่เขตแดน โดยการประยุกต์ใช้รูปแบบนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้แสดงให้เห็นถึงการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างการปฏิรูประเบียบราชการและการปรับเปลี่ยนทางดิจิทัลให้เข้ากับการทำงานด้านการรณรงค์มวลชน เพื่อสร้างพลังแห่งความแข็งแกร่งในการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังทหารชายแดนจังหวัดหล่างเซิน

“จากการนำไปปฏิบัติจริง ระบบฐานข้อมูลทางชายแดนดิจิทัลนี้ได้เกิดผลดีพร้อมสร้างเสถียรภาพ โดยประชาชนในพื้นที่ชายแดนและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศสามารถเข้าถึงระบบเพื่อศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชายแดนและงานด้านการปกป้องชายแดน นำมาซึ่งผลลัพธ์เชิงปฏิบัติในการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรมและได้ถูกขยายไปประยุกต์ใช้ในหน่วยทหารชายแดนจังหวัดหล่างเซินอย่างกว้างขวาง”

นอกจากนี้ เพื่อนำรูปแบบนี้ให้เข้าใกล้กับประชาชนมากขึ้น ป้อมทหารชายแดนบั๊กซา ได้มีการประสานงานร่วมกับคณะกรรมการประชาชนตำบลเกียนหมกในการติดตั้งระบบพร้อมรหัส QR ณ สถานที่ชุมชนต่าง ๆ ได้แก่ บ้านชุมชนประจำหมู่บ้าน 13 แห่ง สำนักงานเทศบาลตำบล จุดตรวจผ่านแดน 4 แห่ง พร้อมการติดป้ายและรหัส QR ตามเส้นทางลาดตระเวนเขตแดน โดยมีผู้เข้าใช้หลายพันคน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 จนถึงปัจจุบัน นาง ม้าถิเหี่ยน (Mã Thị Hiền) รองประธานคณะกรรมการประชาชนตำบลเกียนหมก เผยว่า

“คณะกรรมการพรรคสาขาและหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นได้ยืนหยัดเคียงข้างบรรดาเจ้าหน้าที่ทหารประจำป้อมทหารชายแดนบั๊กซาในการปฏิบัติภารกิจ โดยคณะทำงานแต่ละกลุ่มได้ลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านทุกแห่ง เพื่อสอนวิธีการสแกนรหัสและการกดเข้าลิงก์เพื่อศึกษาข้อมูลและเข้าถึงชุดเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับกฎหมายชายแดน”

การติดตั้งระบบพร้อมรหัส QR ณ สถานที่ชุมชนต่าง ๆ

นอกเหนือจากระบบฐาน “ข้อมูลทางชายแดนดิจิทัล” หน่วยทหารชายแดนจังหวัดหล่างเซินยังได้นำเสนอเนื้อหาต่างๆ เกี่ยวกับการใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลในการประชาสัมพันธ์กฎหมายและกิจกรรมหมู่บ้านในเชิงรุก จัดกิจกรรม “วันเสาร์แห่งอาสาสร้างสุข” หรือ “ห้องเรียนในพื้นที่พรมแดน” เพื่อช่วยให้ชาวบ้านมีความคุ้นชินกับรหัส QR การกรอกข้อมูลทางออนไลน์ และการเข้าถึงพอร์ทัลบริการสาธารณะ เพื่อมุ่งสู่การบริหารกระบวนการปรับเปลี่ยนทางดิจิทัลด้วยตนเอง พร้อมมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกิจกรรมการบริหารจัดการพื้นที่พรมแดนและด่านชายแดนโดยตรง

ทั้งนี้ การปฏิบัติรูปแบบ “ข้อมูลทางชายแดนดิจิทัล” ในงานด้านบริหารจัดการและปกป้องพื้นที่ชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ ได้กลายเป็นช่องทางรับรู้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และหลากหลาย ซึ่งช่วยให้ชาวบ้านมีความกระตือรือร้นศึกษาเกี่ยวกับนโยบายและกฎหมายชายแดน พร้อมเผยแพร่ภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวท้องถิ่นให้กับผู้มาเยือน โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการปฏิบัติงานด้านการปกป้องชายแดนนั้น เป็นแนวทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และมีความจำเป็นอย่างมากในสถานการณ์ใหม่ เพื่อมีส่วนช่วยสร้างพื้นที่พรมแดนให้มั่นคงและสันติ./.