ข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปกับเวียดนามหรือ EVFTA มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมปี 2020 โดยลดภาษีศุลกากรกว่าร้อยละ 70 ต่อสินค้าหลายรายการที่นำเข้าและส่งออกระหว่างทั้งสองฝ่ายและจะลดลงถึงร้อยละ 99 ตามกำหนด อีกทั้งข้อตกลง EVFTA ยังมีส่วนช่วยยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและตลาดแรงงาน
การขยายตัวอย่างข้ามขั้น
ตามข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนาม ภายหลังที่ 5 ปีที่ข้อตกลง EVFTA มีผลบังคับใช้ มูลค่าการค่าต่างตอบแทนระหว่างสองฝ่ายได้เพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่น 5 พัน 4 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 ขึ้นเป็นเกือบ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปลายปี 2024 และมูลค่าการส่งออกสินค้าของเวียดนามไปยังอียูในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 2 แสน 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นเกือบร้อยละ 40 ของยอดมูลค่าการค้าของทั้งสองฝ่ายในรอบกว่า 30 ปีนับตั้งแต่ปี 1995 นำเวียดนามกลายเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุดของอียูในอาเซียน และเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่อันดับที่ 16 ของอียูในทั่วโลก ส่วนอียูเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่อันดับที่ 3 และเป็นตลาดนำเข้ารายใหญ่อันดับที่ 4 ของเวียดนาม
ข้อตกลง EVFTA ยังสร้างผลประโยชน์ต่างๆให้แก่สถานประกอบการเวียดนาม รายงานที่สมาคมสถานประกอบการยุโรปในเวียดนามหรือ EuroCham ประกาศในโอกาสรำลึกครบรอบ 5 ปีที่ข้อตกลง EVFTA มีผลบังคับใช้ได้ระบุว่า EVFTA ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันต่อการผลักดันการแลกเปลี่ยนการค้าทวิภาคี อำนวยความสะดวกให้แก่การปฏิรูปกลไก ยกระดับมาตรฐานและขีดความสามารถในการแข่งขันของสถานประกอบการเวียดนาม ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจหรือ BCI ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ที่จัดโดย EuroCham ระบุว่า สถานประกอบการร้อยละ 66 กำลังเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างอียูกับเวียดนาม สถานประกอบการเกือบร้อยละ 98.2 มีความเข้าใจเกี่ยวกับ EVFTA นาย เหงวียนหายมิง รองประธาน EuroCham เผยว่า
“สถานประกอบการยุโรปเห็นว่า ข้อตกลง EVFTA ได้รับการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และบทบาทที่สำคัญของกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนามในการร่วมกับอียูและชมรมสถานประกอบการแก้ไขอุปสรรคด้านกลไกและการกีดกันในการส่งออกและนำเข้า”
ข้อตกลง EVFTA ไม่เพียงแต่มีส่วนช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าเท่านั้น หากยังดึงดูดเงินลงทุนจากยุโรป ยกระดับสถานะของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานโลก จากการที่มียอดเงินลงทุนเอฟดีไอที่ลงทะเบียนจนถึงกลางปี 2025 รวมมูลค่า 3 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้อตกลง EVFTA ได้กลายเป็น “จุดเด่น” ในการดึงดูดเงินลงทุนจากอียูของเวียดนาม ซึ่งโครงการใหญ่ๆในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง พลังงานหมุนเวียน การผลิตเภสัชภัณฑ์และโลจิสติกส์กำลังได้รับการปฏิบัติ นี่เป็นแหล่งเงินทุนรูปแบบใหม่ มีคุณภาพสูง สร้างพื้นฐานเพื่อให้เวียดนามจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานใหม่และเข้าร่วมเครือข่ายอุปทานของโลกด้วยมาตรฐานสูง
พลังขับเคลื่อนเพื่อผลักดันการปฏิรูป
ข้อตกลง EVFTA ไม่เพียงแต่ผลักดันการแลกเปลี่ยนทางการค้าทวิภาคีเท่านั้น หากยังเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญในการปฏิรูปของแต่ละฝ่าย นาง Lin Goethals ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยุโรปเกี่ยวกับเอเชียที่มีสำนักงานในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมได้เผยว่า ในสภาวการณ์ที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน เวียดนามและอียูยังคงแลกเปลี่ยนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งสีเขียว ดังนั้น นอกจากผลประโยชน์จากการปรับลดภาษีศุลกากรแล้ว ข้อตกลง EVFTA ยังมีส่วนช่วยผลักดันการสนทนาเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างอียูกับเวียดนาม
“นอกจากการปรับลดภาษีแล้ว หนึ่งในผลประโยชน์ที่ข้อตกลง EVFTA นำมาคือการสนทนาเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆของการค้า เช่น อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ซึ่งการสนทนาต่างๆได้รับการผลักดัน นอกจากนี้ การค้ำประกันการพัฒนาอย่างยั่งยืนก็เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากทั้งเวียดนามและอียู”
ส่วนนาย Luliu Winkler รองประธานคณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของรัฐสภายุโรปได้เห็นว่า ข้อตกลง EVFTA กำหนดกระบวนการปรับลดภาษีในด้านต่างๆ รวมทั้งด้านเชิงยุทธศาสตร์ของทั้งเวียดนามและอียู เช่น พลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีใหม่ ดังนั้น เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลง EVFTA อย่างเต็มที่ ทั้งอียูและเวียดนามต้องผลักดันการปฏิรูปกลไก ลดข้อกำหนดต่างๆ มีส่วนช่วยให้สถานประกอบการทั้งสองฝ่ายส่งเสริมความร่วมมือ ใช้ประโยชน์จากศักยภาพความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายในด้านต่างๆ
สำหรับสถานประกอบการเวียดนาม ข้อตกลง EVFTA กำลังผลักดันการปฏิรูปตามแนวทางแห่งสีเขียวและยั่งยืนมากขึ้น เมื่อเข้าร่วมข้อตกลง EVFTA บรรดาสถานประกอบการเวียดนามต้องตอบสนองข้อกำหนดใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องถึงการผลิตแห่งสีเขียว ความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นต้น โดยเฉพาะในด้านการส่งออกหลักของเวียดนาม เช่น รองเท้าและเครื่องเฟอร์นิเจอร์จากไม้ นี่ก็เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสเพื่อให้สถานประกอบการยกระดับคุณภาพของสินค้าและพลังภายใน มีส่วนช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่มีมาตรฐานที่เข้มงวด
ดังนั้น เพื่อสนับสนุนสถานประกอบการเวียดนามในการปฏิบัติข้อกำหนดแห่งสีเขียวของอียู เช่น กลไกการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรปหรือ CBAM ที่จะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่ต้นปี 2026 และกฎหมายที่ห้ามไม่ให้ค้าขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR ที่จะมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่ปลายปีนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนามได้เปิดตัวเว็บไซต์ CBAM ที่ระบุข้อกำหนดของอียูเป็นภาษาเวียดนาม ช่วยให้สถานประกอบการศึกษาข้อกำหนดของอียูได้อย่างสะดวก.