การปะทะระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน: จุดเปลี่ยนที่อันตรายในตะวันออกกลาง

(VOVWORLD) - เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน กองทัพอิสราเอลได้เปิดการโจมตีอิหร่าน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อขัดขวางโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งได้จุดชนวนให้เกิดการปะทะที่ร้ายแรงที่สุดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคนี้ในรอบหลายทศวรรษ และทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางตกเข้าสู่สถานการณ์ใหม่ที่อันตราย
การปะทะระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน: จุดเปลี่ยนที่อันตรายในตะวันออกกลาง - ảnh 1การโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่านใส่เทลอาวีฟ อิสราเอล เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน (REUTERS/Jamal Awad)

 

เพื่อตอบโต้ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน กองทัพอิหร่านก็เปิดการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงใส่เมืองใหญ่หลายแห่งของอิสราเอล จนนำไปสู่การโจมตีทางอากาศระหว่างกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ขยายปฏิบัติการตอบโต้

การที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนถือเป็นการจุดชนวนความตึงเครียดของการเผชิญหน้ากันในช่วงหลายปีที่ผ่านมาระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน เนื่องจากมีทัศนะที่แตกต่างทั้งในด้านศาสนา สิทธิของชาวปาเลสไตน์และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ได้อธิบายว่า อิสราเอลต้องมีปฏิบัติการป้องกันไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์เพราะถือเป็น“ภัยคุกคามต่อการคงอยู่” ของอิสราเอล แต่ทางฝ่ายอิหร่านกลับย้ำว่าไม่มีความประสงค์พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่อิหร่านมีสิทธิ์ในการพัฒนาความสามารถด้านนิวเคลียร์พลเรือน และปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของอิหร่านอย่างชัดเจน

การที่ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมประนีประนอมต่อข้อเรียกร้องของกัน บวกกับภาวะชงักงันของการเจรจาด้านนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐกับอิหร่านในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาได้ทำให้รัฐบาลหัวรุนแรงของอิสราเอลต้องเลือกทางออกที่เสี่ยงที่สุดคือโจมตีอิหร่าน ในทางกลับกัน อิหร่านก็ตอบโต้อย่างรุนแรงด้วยการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งใหญ่ที่สุดใส่เมืองใหญ่หลายแห่งของอิสราเอล โดยตามรายงานเบื้องต้นจนถึงวันที่ 17 มิถุนายน ทางฝ่ายอิหร่านมีผู้เสียชีวิตประมาณ 300 ราย และฝ่ายอิสราเอลมีผู้เสียชีวิตเกือบ 40 ราย จำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายมีหลายพันราย และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญหลายแห่งของทั้งสองประเทศก็ถูกทำลาย แต่สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดตามความเห็นของบรรดาผู้สังเกตการณ์คือ การปะทะได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเสี่ยงที่จะกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบที่ไม่สามารถควบคุมได้ และ

เสี่ยงที่จะลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาค ตลอดจนจะทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านผ่านช่องทางการทูตมีความเปราะบางมากขึ้น นาย แอนดรูว์ มิลเลอร์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐที่ดูแลปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ และปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญของศูนย์เพื่อความก้าวหน้าของสหรัฐหรือ CAP ประเมินว่า

“ผมไม่คิดว่า การโจมตีนี้จะส่งผลกระทบต่อการเจรจาเกี่ยวกับปัญหาฉนวนกาซา แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน เพราะไม่ว่าอิสราเอลจะทำอะไรก็ตามมันก็เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้น ส่วนมาตรการระยะยาวสำหรับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านจะต้องผ่านช่องทางการทูตเท่านั้น แต่จากสภาวการณ์ปัจจุบันอิหร่านยากที่จะยอมเจรจาเกี่ยวกับปัญหานี้”

การปะทะระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน: จุดเปลี่ยนที่อันตรายในตะวันออกกลาง - ảnh 2ประชาชนหลบภัยท่ามกลางการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอิหร่าน ในเทลอาวีฟ อิสราเอล 17 มิถุนายน (REUTERS/Ronen Zvulun)

สหรัฐมีบทบาทอย่างไร?

คำถามใหญ่ที่อาจเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อสถานการณ์ในปัจจุบันคือบทบาทของสหรัฐ ซึ่งเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของอิสราเอล  โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารต่างแสดงความเห็นว่า ยุทธนาการทางทหารของอิสราเอล รวมถึงการทำลายโรงงานนิวเคลียร์ใต้ดินของอิหร่าน เช่น นาตันซ์และฟอร์โดว์ หรือการป้องกันการโจมตีตอบโต้ของอิหร่านยากที่จะมีประสิทธิภาพได้ถ้าหากขาดการมีส่วนร่วมโดยตรงของกองทัพสหรัฐ นาย ไบรอัน คาตูลิส นักวิเคราะห์จากสถาบันตะวันออกกลาง ประเทศสหรัฐระบุว่า ทางการของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเผชิญกับ2 ทางเลือกที่ยากลำบาก คือ การสร้างแรงกดดันให้ทุกฝ่ายเพื่อยุติการปะทะ และเดินหน้าการเจรจาด้านนิวเคลียร์กับอิหร่านต่อไป หรือเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอล ในแถลงการณ์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ย้ำถึงมาตรการทางการทูต โดยเรียกร้องให้อิหร่านยอมรับข้อตกลงนิวเคลียร์ที่สหรัฐได้เสนอก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ทางการสหรัฐได้ตัดสินใจส่งขบวนเรือบรรทุกเครื่องบินไปยังตะวันออกกลาง และนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้ลดกำหนดการเข้าร่วมการประชุมสุดยอด G7 เพื่อเดินทางกลับประเทศเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงการคาดเดาไม่ได้ของนโยบายของสหรัฐต่อภูมิภาคในปัจจุบัน

สำหรับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ มาตรการทางการทูตก็เป็นทางเลือกเดียวที่จะป้องกันไม่ให้การปะทะระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านทวีความรุนแรง ในการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีเมียร์ ปูติน ได้ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงทันที พร้อมทั้งเผยถึงความเป็นไปได้ที่รัสเซียอาจมีบทบาทเป็นคนกลางเพื่อสนทนา ส่วนในการประชุมสุดยอด G7 บรรดาผู้นำหลายประเทศยุโรปอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษและอิตาลีก็ได้สร้างแรงกดดันต่อประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมมาตรการทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สังเกตการณ์ก็เตือนว่า จำเป็นต้องดำเนินมาตรการทางการทูตทันที ก่อนที่ปัญหาระหว่างอิสราเอลและอิหร่านในปัจจุบันจะทวีความตึงเครียดถึงระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด