(VOVWORLD) - ประชาคมโลกกำลังแข่งกับเวลาเพื่อเปิดเส้นทางส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่ฉนวนกาซา ในสภาวการณ์ที่สถานการณ์ในดินแดนแห่งนี้เลวร้ายลงทุกวัน และประชาชนหลายแสนคนมีความเสี่ยงที่จะตกเข้าสู่ภาวะอดอยาก
กองทัพอากาศแคนาดาส่งสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมลงสูฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม2025 (Corporal Marc-Andre Leclerc/Canadian Forces/Handout via REUTERS) |
นับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือ UAE เบลเยียม อียิปต์ เยอรมนี จอร์แดนและแคนาดาได้ดำเนินยุทธนาการจัดส่งสิ่งของความช่วยเหลือทางอากาศ รวมถึงอาหารและยาให้แก่ฉนวนกาซา ในขณะที่เส้นทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นๆ ยังคงเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
ภาพรวมด้านมนุษยธรรมที่มืดมน
ตามรายงานสถิติที่เผยแพร่โดยประเทศต่างๆ ปรากฎว่า ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ซึ่งอิสราเอลได้ประกาศ “ระงับยุทธนาการชั่วคราว” และผ่อนปรนให้ดำเนินกิจกรรมบรรเทาทุกข์ จนถึงวันที่ 4 สิงหาคม ประเทศที่เข้าร่วมกิจกรรมขนส่งความช่วยเหลือผ่านทางอากาศได้ส่งอาหารและยาประมาณ 675 ชุด คิดเป็นน้ำหนักเกือบ 700 ตันเข้าสู่ฉนวนกาซา ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม กระทรวงกลาโหมอิสราเอลได้ประกาศว่า รถบรรทุกกว่า 1,200 คันที่ขนส่งสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม 23,000 ตันได้ผ่านด่านศุลกากรเข้าสู่ฉนวนกาซาในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม สื่อทางการในกาซารายงานว่า มีรถบรรทุกเพียง 674 คัน และจากการประเมินของประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศ แม้จะมีรถบรรทุกถึง 1,200 คัน แต่ปริมาณสินค้าบรรเทาทุกข์ที่ถูกส่งไปยังฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมายังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความต้องการที่เร่งด่วนในปัจจุบัน ซึ่งมีประชาชนกว่า 2.3 ล้านคนที่ต้องพึ่งพาสิ่งของบรรเทาทุกข์จากภายนอก
นาย รอสส์ สมิธ ผู้อำนวยการฝ่ายฉุกเฉินของโครงการอาหารโลกหรือ WFP ระบุว่า WFP ต้องการส่งรถบรรทุกเข้าฉนวนกาซา 100 คันต่อวัน เพื่อค้ำประกันว่า ประชาชนในพื้นที่นี้จะได้รับอาหารและโภชนาการอย่างเพียงพอ ส่วนองค์กรด้านมนุษยธรรมอื่นๆ ก็ต้องการขนส่งสิ่งของช่วยเหลือเช่นกัน โดยWFP คำนวณว่า ในช่วงหยุดยิงซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อต้นปีนี้ มีรถขนส่งสิ่งของบรรทุกข์ประมาณ 400 คันเข้าสู่ฉนวนกาซาทุกวัน ดังนั้นจำนวนรถบรรทุกขนส่งสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่เข้าสู่ฉนวนกาซาในปัจจุบันจึงอยู่ที่เพียงร้อยละ 30 ของความต้องการเท่านั้น
ความจริงนี้ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาร้ายแรงยิ่งขึ้น เพราะภายหลังการปะทะมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี รายงานสถิติของสหประชาชาติเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมได้แสดงให้เห็นว่า ประชากรประมาณร้อยละ 80 ของประชากรทั้งหมด 2.3 ล้านคนในฉนวนกาซากำลังตกอยู่ในภาวะอดอยาก ประชาชนประมาณ 800,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและเด็กกำลังตกอยู่ในภาวะ “อดอยากขั้นรุนแรง” และสัญญาณของความอดอยากก็นับวันปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนรายงานขององค์การอนามัยโลกหรือ WHO เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ระบุว่า นับตั้งแต่ต้นปีนี้ มีผู้เสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการในฉนวนกาซา 74 คน โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิต 63 คน ในขณะที่ข้อมูลจากองค์กรติดตามความมั่นคงทางอาหารแบบบูรณาการหรือ IPC ซึ่งรวบรวมโดยหน่วยงานต่างๆของสหประชาชาติปรากฎว่า ประชาชนในฉนวนกาซากำลังตกอยู่ในภาวะ “ภัยพิบัติทางมนุษยธรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” และ “ใกล้จะถึงภาวะอดอยาก” โดยตัวชี้วัดการบริโภคอาหารและโภชนาการอยู่ในระดับที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดการปะทะระหว่างกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาและอิสราเอลเมื่อเดือนตุลาคมปี 2023 นาย รอสส์ สมิธ เผยว่า
“นี่คือวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา นี่ไม่ใช่แค่คำเตือน หากเป็นคำเรียกร้องให้ลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซานั้นแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยเห็นในศตวรรษนี้ ทำให้นึกถึงวิกฤตที่เคยเกิดขึ้นในเอธิโอเปีย เบียฟราในประเทศไนจีเรียเมื่อศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเราต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและทันที”
ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมถูกทิ้งลงสู่ฉนวนกาซาจากเครื่องบินเบลเยียม (Belgian Defence Ministry/Handout via REUTERS) |
แรงกดดันจากนานาชาติ
ท่ามกลางสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เร่งด่วนในฉนวนกาซา ประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศต้องแข่งกับเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตร้ายแรง บรรดาผู้สังเกตการณ์ระบุว่า กุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตในฉนวนกาซาในปัจจุบันคือการสร้างและรักษาเส้นทางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยการขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ผ่านทางอากาศของหลายประเทศเป็นเพียงการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น นาง โอลกา เชเรฟโก จากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติหรือ OCHA ในฉนวนกาซาระบุว่า การช่วยเหลือทางอากาศมีค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีประสิทธิภาพ โดยการขนส่งสิ่งของใน 4 เที่ยวบินมีปริมาณเทียบเท่าการใช้รถบรรทุก 1-2 คันนาย รอสส์ สมิธ ผู้อำนวยการฝ่ายฉุกเฉินของ WFP ยังประเมินว่า การทิ้งสิ่งของทางอากาศลงในพื้นที่อยู่อาศัยที่แออัดหรือค่ายผู้ลี้ภัยในฉนวนกาซามีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บและสิ่งของบรรเทาทุกข์ไม่ได้รับการแจกจ่ายอย่างเหมาะสม
ดังนั้น OCHA และองค์กรอื่นๆ จึงเชื่อว่า เพื่อให้กิจกรรมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาดำเนินไปอย่างราบรื่น ประชาคมโลกจำเป็นต้องสร้างแรงกดดันเพื่อให้รัฐบาลและกองทัพอิสราเอลผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ส่วนนาย บรอนเวน แมดด็อกซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารมูลนิธิวิจัยแชทัมเฮาส์ ประเทศอังกฤษระบุว่า การที่ประเทศตะวันตกหลายประเทศที่เป็นพันธมิตรของอิสราเอล เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษและแคนาดา ประกาศว่า จะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติในเดือนกันยายนนี้ ณ นครนิวยอร์ก ได้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ประเทศพันธมิตรดั้งเดิมของอิสราเอลก็ยังรู้สึกว่า ยากที่จะยอมรับวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาได้ ถึงแม้ว่าการรับรองรัฐปาเลสไตน์อาจเป็นเพียงสัญลักษณ์ในขณะนี้ก็ตาม
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม กองทัพอิสราเอลได้ประกาศระงับปฏิบัติการทางทหารชั่วคราวประจำวันตั้งแต่เวลา 10.00 น. ถึง 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในพื้นที่อัลมาวาซี เดอีร์ อัล-บาลาห์ และพื้นที่บางแห่งของเมืองกาซาที่ไม่มีปฏิบัติการภาคพื้นดินมาตั้งแต่เดือนมีนาคม พร้อมทั้งประกาศกำหนดเส้นทางที่ปลอดภัยถาวรสำหรับกิจกรรมการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 23.00 น. แต่อย่างไรก็ตาม นาง โอลกา เชเรฟโก กล่าวว่า การตรวจสอบที่จุดตรวจรักษาความปลอดภัยของอิสราเอลยังคงใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ทำให้ขบวนรถจำนวนมากไม่สามารถปฏิบัติตามกรอบเวลาการแจกจ่ายความช่วยเหลือตามที่อิสราเอลกำหนดได้.