(VOVWORLD) - ในสภาวการณ์ที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้ทำให้สแกมเมอร์ข้ามชาติมีความซับซ้อนมากขึ้นจนกลายเป็นภัยระดับโลก
ในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 93 ที่จัดขึ้น ณ เมืองมาร์ราเกช ประเทศโมร็อกโก ในระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน องค์การตำรวจสากลหรือ Interpol ได้อนุมัติมติเรียกร้องให้มีปฏิบัติการร่วมมือระดับโลกเพื่อป้องกันสแกมเมอร์ที่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและน่ากังวล
ตัวเลขที่น่ากังวล
ในการประชุมสมัชชาใหญ่ ณ เมืองมาร์ราเกช Interpol ได้ประกาศตัวเลขที่น่ากังวล โดยเฉพาะ อาชญากรรมไซเบอร์ รวมทั้ง การหลอกลวงข้ามชาติที่มีความซับซ้อนและมีอิทธิพลมากขึ้น ซึ่งในปี 2023 ได้สร้างความเสียหายทั่วโลกประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะสูงถึง 10.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 สูงกว่า GDP ของประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่หลายประเทศ โดยเฉพาะ Interpol ได้เตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจากศูนย์สแกมเมอร์ข้ามชาติ ซึ่งเป็นเครือข่ายอาชญากรรมที่เชี่ยวชาญในการหลอกลวงออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและการแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่น่าสนใจคือ เหยื่อจำนวนมากยังถูกหลอกให้ไปทำงานเป็นสแกมเมอร์โดยบอกว่าเป็นงานที่มีรายได้สูง ซึ่งเมื่อไปถึงก็จะถูกบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์ Interpol ระบุว่า ศูนย์สแกมเมอร์เหล่านี้กำลังขยายไปยังหลายภูมิภาคทั่วโลก ตั้งแต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงแอฟริกา อเมริกากลาง และตะวันออกกลาง มีการร้องเรียนของผู้ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงใน 66 ประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขอบเขตและความซับซ้อนของอาชญากรรมประเภทนี้ในระดับโลก
ในปฏิบัติการล่าสุด Interpol ได้ร่วมกับสำนักงานที่เกี่ยวข้องของ 18 ประเทศในแอฟริกาจับกุมสมาชิกสแกมเมอร์ 1,209 คน ซึ่งหลอกลวงเหยื่อเกือบ 88,000 คน ปฏิบัติการนี้สามารถยึดเงินได้ 97.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำลายฐานสแกมเมอร์ 11,432 แห่ง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตำรวจเยอรมนีได้ทำลายเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตจากประชาชน 4.3 ล้านคนใน 193 ประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ ระบุว่า อาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงสแกมเมอร์ได้ก่อให้เกิดการปะทะมากขึ้น ทำลายประเทศและกลายเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
“อาชญากรรมข้ามชาติเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสันติภาพ ความมั่นคงและการพัฒนาที่ยั่งยืนในสถานที่ทุกแห่ง ทุกประเทศ ตั้งแต่ประเทศร่ำรวยไปจนถึงประเทศยากจน จากเหนือจรดใต้ จากประเทศพัฒนาแล้วไปจนถึงประเทศกำลังพัฒนา และโลกไซเบอร์เปรียบเสมือนเหมืองทองสำหรับอาชญากรรมประเภทนี้”
ท่ามกลางภัยคุกคามจากสแกมเมอร์ที่เพิ่มมากขึ้น ได้มีการส่งเสริมกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อรับมือปัญหานี้ โดยเฉพาะการลงนามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์หรืออนุสัญญาฮานอยเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในระหว่างวันที่ 11-12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้มีการจัดการประชุม Global Operation Meeting ณ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นกลไกที่ Interpol และตำรวจแห่งชาติอาเซียนหรือASEANAPOL เข้าร่วม การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมโดยตรงครั้งแรกในกรอบปฏิบัติการร่วม “Breaking Chains” ที่ริเริ่มโดยตำรวจสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อปราบปรามสแกมเมอร์และการค้ามนุษย์
ปัญหาของการใช้ AI
ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขความท้าทายในการต่อต้านสแกมเมอร์ เทคโนโลยีกลายเป็นกุญแจสำคัญ เนื่องจากความซับซ้อนของอาชญากรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงก่อให้เกิดความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อสำนักงานบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะ แก๊งอาชญากรรมได้ปรับเปลี่ยนวิธีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการใช้ AI และเทคโนโลยี Deepfake ซึ่ง Interpol ระบุว่า นี่คือปัจจัยที่ทำให้อาชญากรรมไซเบอร์พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และกำลังสร้างภัยคุกคามต่อทุกประเทศ
เพื่อรับมือความท้าทายทางเทคโนโลยี Interpol ระบุว่า ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องลงทุนมากขึ้นในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การประสานงานระหว่างหน่วยงาน และการฝึกอบรมเชิงลึกสำหรับกองกำลังบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะการใช้ AI เพื่อสืบสวนและปราบปรามแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
โครงการริเริ่มอื่นๆ ที่ Interpol ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่ การผลักดันการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลทั่วโลกเกี่ยวกับเว็บไซต์หลอกลวงและผู้ที่เป็นสแกมเมอร์ นอกจากนี้ การประสานงานในการปราบปรามอาชญากรรมทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมุ่งเป้าไปยัง“จุดร้อนระอุ” และแก๊งอาชญากรรม ควบคู่กับการติดตามและอายัดทรัพย์สินผิดกฎหมาย โดยเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Interpol และตำรวจสาธารณรัฐเกาหลีได้เริ่มปฏิบัติการร่วมกันในพื้นที่ชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ เพื่อไล่ล่าผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ และคาดว่าจะขยายการปฏิบัติในพื้นที่ชายแดนของอาเซียนในเดือนนี้ นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ควรให้ความสนใจถึงการจัดทำกระบวนการฉุกเฉินในการค้นหา ช่วยเหลือ ส่งตัวผู้ที่ถูกหลอกลวงกลับประเทศ และประสานงานในการดำเนินการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ทั่วโลก.