(VOVWORLD) - ท้ายเงวียนซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาของประเทศกำลังย่างเข้าสู่ระยะการพัฒนาใหม่ ด้วยการกำหนดแนวทางที่จะทำให้ชาไม่เพียงแต่เป็นพืชหลักเท่านั้น หากยังเป็นแบรนด์ระดับชาติอีกด้วย โดยเติบโตอย่างเข้มแข็งด้วยเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าจากต้นชาให้บรรลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2025-2030 ไม่เพียงเป็นแนวทางเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้น หากยังเป็นการส่งเสริมศักยภาพและความได้เปรียบของธรรมชาติอย่างเต็มที่
ท้ายเงวียนมุ่งมั่นพัฒนาการปลูกชาให้มีมูลค่าหลักพันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
ปัจจุบัน จังหวัดท้ายเงวียนเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ ผลผลิตและรายได้จากต้นชามากที่สุดในประเทศ หลังจากควบรวมจังหวัดบั๊กก่านเข้ากับจังหวัดท้ายเงวียน จังหวัดท้ายเงวียนใหม่มีพื้นที่ปลูกชาเกือบ 24,000 เฮกตาร์ ซึ่งพื้นที่ปลูกชาเกือบ 23,000 เฮกตาร์ให้ผลผลิตเฉลี่ยเกือบ 180 ตันต่อเฮกตาร์ จังหวัดท้ายเงวียนได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ชา 207 รายการที่ได้รับการรับรองเป็นผลิตภัณฑ์ OCOP ตั้งแต่ระดับ 3 - 5 ดาว ด้วยกลไกและนโยบายสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ มูลค่าผลิตภัณฑ์ชาของจังหวัดฯในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 สูงถึงกว่า 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จังหวัดท้ายเงวียนตั้งเป้าที่จะมีพื้นที่ปลูกชา 23,500 เฮกตาร์ภายในปี 2025 โดยมีผลผลิตใบชาสด 273,000 ตัน โดยเฉพาะ มูลค่าผลผลิตต่อเฮกตาร์ของพื้นที่ปลูกชาสูงกว่า 13,200 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ในช่วงปี 2025-2030 ท้ายเงวียนมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และชาท้ายเงวียนจะกลายเป็นสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ในสินค้าส่งออกของเวียดนาม ภายในสิ้นปี 2025 จังหวัดท้ายเงวียนตั้งเป้าที่จะมีพื้นที่ปลูกชาร้อยละ 70 ที่ได้มาตรฐาน VietGAP ขยายพื้นที่ปลูกชาอยู่ที่ประมาณ 24,500 เฮกตาร์ ผลผลิตชาสดเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ตัน และขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะตลาดที่ได้มาตรฐานที่เข้มงวด เช่น ยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐ
เพื่อบรรลุเป้าหมายมูลค่าจากผลิตภัณฑ์ชาสูงถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ท้ายเงวียนได้ออกมติที่ 11 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ปี 2025 เกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมชาท้ายเงวียนในช่วงปี 2025-2030 และได้ตัดสินใจลงทุนเกือบ 19,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมชาในช่วงเวลาดังกล่าว นี่เป็น “แรงผลักดัน” ที่สำคัญในการสร้างแรงผลักดันให้อุตสาหกรรมชาพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ นาย เหงียนต๊า หัวหน้าฝ่ายการเพาะปลูกและกำจัดศัตรูพืช จังหวัดท้ายเงวียนยืนยันว่า
“ท้ายเงวียนมีนโยบายที่ครอบคลุม ตั้งแต่การเพาะปลูก การดูแล การแปรรูป การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ OCOP ไปจนถึงตลาดส่งเสริมการค้า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน 34 จังหวัดและนคร และการเจาะตลาดโลก นี่อาจเป็นหนึ่งในนโยบายที่ครอบคลุม ซึ่งไม่มีท้องถิ่นใดมีนโยบายที่เป็นก้าวกระโดดในการพัฒนาอุตสาหกรรมชาเหมือนจังหวัดท้ายเงวียน”
เนื้อหาสนับสนุนสำคัญในมติที่ 11 ประกอบด้วย การส่งเสริมการวิจัยและการประยุกต์ใช้พันธุ์ชาใหม่ที่มีผลผลิตสูงและคุณภาพดีขึ้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ชาคุณภาพสูง เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่ม การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างครัวเรือนเกษตรกร สหกรณ์และสถานประกอบการเพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ครบวงจรตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจำหน่าย การฝึกอบรมและการพัฒนาแหล่งบุคลากรที่มีคุณภาพสูงและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานการผลิต นอกจากนี้ นโยบายยังเน้นสนับสนุนการปลูกชา การรับรองมาตรฐาน VietGAP การผลิตแบบออร์แกนิก การจัดทำการรับรองระบบการบริหารคุณภาพ การออกรหัสพื้นที่เพาะปลูก การใช้ระบบชลประทานอัจฉริยะที่ประหยัดน้ำและการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ปลูกชา
การรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ชาที่ได้มาตรฐาน OCOP และการส่งเสริมการประชาสัมพันธ์การค้า โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซจะช่วยให้อุตสาหกรรมชาของท้ายเงวียนเติบโตถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
ด้วยการสนับสนุนจากจังหวัดฯ ผู้ผลิตชาท้ายเงวียนกำลังเปลี่ยนแปลงใหม่แนวคิดและวิธีการผลิตอย่างเข้มแข็ง สถานประกอบการและสหกรณ์หลายแห่งได้เลือกแนวทางเกษตรอินทรีย์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และเข้าถึงตลาดระดับไฮเอนด์ โดยราคาขายอาจเพิ่มขึ้นตั้งแต่ร้อยละ 30-40 เมื่อเทียบกับปีก่อน สหกรณ์ชาหาวดาด ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในเตินเกืองซึ่งเป็นแหล่งผลิตชาอันดับหนึ่ง นาง ด่าวแทงหาว ผู้อำนวยการสหกรณ์ชาหาวดาด ได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดการผลิตชาว่า
“เมื่อก่อน ชาวท้องถิ่นใช้วิธีดั้งเดิม แต่ปัจจุบันได้ประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เรายังต้องการพัฒนาและขยายแบรนด์ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงชาเตินเกือง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เราดำเนินการด้วยวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและความสร้างสรรค์ ทางจังหวัดฯมีความประสงค์ที่จะทำให้ชาเป็นผลผลิตที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น เราจึงมุ่งมั่นเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งในด้านการดูแลและแนวคิดเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ชาไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มเท่านั้น หากยังพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น ชาเขียวมัทฉะ และเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากชาที่มีคุณค่าอีกด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ชาวท้องถิ่นมีความประสงค์ที่จะพัฒนาการปลูกชาให้เป็นพลังขับเคลื่อนในการสร้างฐานะ ควบคู่กันนั้น สหกรณ์และสถานประกอบการเกี่ยวกับชาในจังหวัดฯ ก็กำลังเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น นาง เหงียนถิหาย ผู้อำนวยการสหกรณ์ชาลาบั่ง ตำบลลาบั่งกล่าวว่า
“เมื่อก่อน ผลิตภัณฑ์ชาลาบั่งได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ OCOP 4 ดาวเท่านั้น แต่คุณค่าของการรับรองนี้เป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ทางสหกรณ์ฯ มุ่งมั่นที่จะบรรลุมาตรฐาน 5 ดาว ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีเพื่อให้ชาลาบั่งเจาะตลาดโลก”
การที่สำนักงานภาครัฐให้การสนับสนุนและเชื่อมโยงตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริโภค ควบคู่กับการระดมแหล่งพลังสนับสนุนอื่นๆ กำลังสร้างแหล่งพลังที่สำคัญยิ่งขึ้นเพื่อให้สถานประกอบการ สหกรณ์และผู้ผลิตชาในท้ายเงวียนบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าของต้นชา ต้นชาและผลิตภัณฑ์ชาของท้ายเงวียนไม่เพียงแต่เติบโตอย่างเข้มแข็งภายในประเทศเท่านั้น หากยังขยายไปทั่วโลก กลายเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วมที่สำคัญต่อจังหวัดท้ายเงวียนในกระบวนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนา ดินแดนที่มีศักยภาพอันยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังบรรลุความฝันในการยกระดับมูลค่าจากชาให้อยู่ในหลักพันล้านดอลลาร์ในอนาคตอันใกล้นี้.