(VOVWORLD) -ตามคำเชิญของนาย เซกิงุจิ มาซาคาซุ ประธานวุฒิสภาญี่ปุ่น ประธานสภาแห่งชาติเวียดนาม เจิ่นแทงเหมิน พร้อมภริยาและคณะผู้แทนระดับสูงของเวียดนามเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในระหว่างวันที่ 3-7 ธันวาคม วัตถุประสงค์ของการเยือนนี้ก็เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างสภาแห่งชาติเวียดนามกับรัฐสภาญี่ปุ่น สร้างพลังขับเคลื่อนใหม่ให้แก่การพัฒนาของทั้งสองประเทศ
สส. อาโอยากิ โยอิจิโร่ (Photo: quochoi.vn) |
นี่เป็นการเยือนญี่ปุ่นครั้งแรกของประธานสภาแห่งชาติ เจิ่นแทงเหมิน และเป็นการเยือนญี่ปุ่นครั้งแรกของประธานสภาแห่งชาติเวียดนามนับตั้งแต่ปี 2012 และภายหลัง 1 ปีหลังจากที่ทั้งสองประเทศยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียและโลก เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนปี 2023
ความสัมพันธ์ได้รับการพัฒนาด้วยความไว้วางใจทางการเมืองในระดับสูง
ในตลอดกว่า 50 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 1973 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้มีก้าวพัฒนาที่เข้มแข็ง ข้ามขั้นและรอบด้าน โดยยกระดับความสัมพันธ์จากหุ้นส่วนที่น่าไว้วางใจ มีเสถียรภาพและยาวนานเมื่อปี 2002 ขึ้นเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียและโลก เมื่อปี 2023 ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับญี่ปุ่นได้นำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกัน บรรลุความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์สูงและการสนับสนุนจากภายในญี่ปุ่นและพรรคการเมืองต่างๆของญี่ปุ่น สส. อาโอยากิ โยอิจิโร่ ได้เผยว่า
“สามารถยืนยันได้ว่า ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่แค่เป็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังรวมถึงด้านการเมือง ความมั่นคง กลาโหม การทูต และวัฒนธรรม โดยมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ในการหารือต่างๆกับฝ่ายเวียดนาม ผมได้ย้ำหลายครั้งว่า ต้องส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในทุกระดับ”
โดยเฉพาะ ความร่วมมือระหว่างสำนักงานนิติบัญญัติของทั้งสองประเทศมีบทบาทที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับญี่ปุ่น โดยทั้งสองฝ่ายธำรงการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ และประสบการณ์ระหว่างคณะกรรมาธิการและสส. ต่างๆ มีส่วนร่วมต่อการส่งเสริมการปฏิบัติข้อตกลงระหว่างสองประเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาล ผลักดันการพบปะสังสรรค์ระดับประชาชน ค้ำประกันประสิทธิภาพของโครงการร่วมมือระหว่างเวียดนามกับญี่ปุ่น
นอกจากนี้ สภาแห่งชาติเวียดนามและรัฐสภาญี่ปุ่นผลักดันการพบปะสังสรรค์ระดับประชาชนในกรอบกลุ่ม สส.มิตรภาพ สส.รุ่นใหม่และสส.สตรี ด้วยรูปแบบที่หลากหลาย กลุ่ม สส.มิตรภาพเวียดนาม-ญี่ปุ่นและสหพันธ์ สส.ญี่ปุ่น-เวียดนามมีบทบาทเป็นสะพานเชื่อมเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างสองประทศในหลายด้าน ในระยะที่เวียดนามกำลังเตรียมย่างเข้าสู่ระยะแห่งการพัฒนาใหม่ การผลักดันความร่วมมือระหว่างรัฐสภาทั้งสองประเทศจะนำผลงานที่เป็นรูปธรรมมาให้แก่เวียดนาม นาย ฝ่ามกวางเหียว เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำญี่ปุ่นได้เผยว่า
“สภาแห่งชาติเวียดนามและรัฐสภาญี่ปุ่นผลักดันกลไกการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านนิติบัญญัติ โดยเฉพาะการจัดทำกลไกเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคมอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่เวียดนามย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ ศักราชแห่งการผงาดของประชาชาติ จากการเป็นประเทศที่มีประสบการณ์ในงานด้านการจัดทำกฎหมายและการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ญี่ปุ่นสามารถช่วยเหลือเวียดนามในการยกระดับทักษะความสามารถในการจัดทำกฎหมาย”
นาย ฝ่ามกวางเหียว เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำญี่ปุ่น (Photo: TTXVN) |
ปฏิบัติเนื้อหาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้าน
บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีงาม การเยือนญี่ปุ่นของประธานสภาแห่งชาติ เจิ่นแทงเหมิน มีความหมายสำคัญพิเศษ ปฏิบัติเนื้อหาใหม่ในความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับญี่ปุ่น นาง เลทูห่า รองหัวหน้าคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของสภาแห่งชาติได้เผยว่า
“ในกรอบการเยือนครั้งนี้ ประธานสภาแห่งชาติเวียดนามและประธานวุฒิสภาญี่ปุ่นจะลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานนิติบัญญัติ ดิฉันเห็นว่า นี่เป็นพื้นฐานที่สำคัญ มีส่วนร่วมต่อการผลักดันความร่วมมือระหว่างสำนักงานนิติบัญญัติของทั้งสองประเทศ อำนวยความสะดวกเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติกิจกรรมความร่วมมือทวิภาคีและในฟอรั่มพหุภาคี มีส่วนร่วมส่งเสริมความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในทุกด้านเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือในภูมิภาคเอเชียและโลก สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ”
ในกรอบการเยือนญี่ปุ่น ประธานสภาแห่งชาติ เจิ่นแทงเหมิน จะเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ เจรจากับประธานวุฒิสภา พบปะกับนายกรัฐมนตรี ประธานสภาล่าง ผู้บริหารพรรคการเมืองใหญ่ องค์การเศรษฐกิจใหญ่ของญี่ปุ่น พบปะกับตัวแทนชมรมชาวเวียดนามในญี่ปุ่น ซึ่งการเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ของประธานสภาแห่งชาติ เจิ่นแทงเหมิน จะผลักดันการปฏิบัติข้อตกลงระหว่างสองประเทศเพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่ให้แก่การพัฒนาความสัมพันธ์ในเวลาที่จะถึง.